a trick of the light : a place for cinephiles

หนังข่าว

Vientienale Postcard Diary – Day 4

บัณฑิต เทียนรัตน์

โปสการ์ด 4

โปสการ์ดลำดับสี่
เวียงจันทน์ 13 พ.ค. 54

เข้าวันที่สองแล้วสิ เราตื่นเช้ามาก็ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวม(อย่าลืมนะ อาบทีละคน) เสร็จสรรพก็แต่งตัว หวีผม สะพายกระเป๋า(จะเล่าทำไม?) ออกมาร้านเน็ต รีบเขียนอัพเดทอะไรไปตามประสาคนความจำสั้น สามสี่วันมานี้มีโทรศัพท์มาจากเมืองไทย สองสาย เป็นผกก.ภาพยนตร์สุดฮ็อททั้งคู่เลย(อันนี้อยากอวด) จนตอนนี้โทรศัพท์เครดิตหมดไปเรียบร้อยแล้วเป็นการตอบคำถามว่า เค้าชาร์จที่ปลายทางหรือต้นทาง?

กลางวันแดดแรง แต่ไม่ร้อน ผิดกับสองวันก่อนที่แดดเกรียมจนเหงื่อไหลไคลย้อย วันนี้เลยเดินได้สบายๆ ตั้งใจว่าถ้าไม่เจอร้านส้มตำปลาร้าก็จะไม่กินอะไรทั้งนั้น เดินจากเฮือนพักนิดเดียวก็เจอเลย มั่นใจมาก เพราะเห็นครกลูกเบ้อเริ่ม เดินเข้าไปมีทั้งตับย่าง ไก่ย่าง โถปลาร้าสีเข้มปึ้ด กลิ่นหอมชวนรับประทาน มองไปมีฝูงแมลงวันบินว่อนอย่างร่าเริง ก็เลยสั่งตำปลาแดกมาหนึ่งจาน แม่ค้าก็ตำฉัวะๆๆมาให้อย่างรวดเร็ว สีแดงเข้มไปทั้งจาน เราสั่งข้าวเหนียว และหยิบของย่างมาเสริมอีกจาน แค่นี้ก็อิ่มแปร้

งานเวียงจันทน์นาล(Vientianale)วันที่สองนี้ เริ่มตอนบ่ายครึ่ง จัดขึ้นที่หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว และจะทยอยฉายหนังจากลาว พม่า เวียดนาม เป็นหนังสั้นเสียส่วนใหญ่ และมีโปรแกรมหนังนานาชาติด้วย(ซึ่งเราไม่ได้สนเท่าไหร่ เพราะมันฉายเวลาเดียวกันกับหนังอาเซียน) ก่อนจะเปิดค่ำคืนนี้ด้วยหนังไทยปาล์มทองคำเรื่อง “ลุงบุญมีระลึกชาติ” ด้วยนะ ดูจะเป็นโปรแกรมทองของงานนี้เลยเชียว คนลาวคงไม่ต้องอ่านซับฯเลย และเนื่องจากเป็นองค์กรเยอรมันเป็นผู้จัด จึงมีหนังอย่าง Run, Lola, Run หนังเก่าเก็บของทอม ทึกเวอร์ ผกก.เยอรมันมาฉายแถมด้วย(มาไงวะเนี่ย) ฉายก่อนลุงบุญมี และจะปิดท้ายคืนนี้จริงๆด้วยหนังผีไทย “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” อืมมม์ คนคัดหนังเค้าหลากอารมณ์ดีนะ

ผมคงดูไม่หมดหรอก เอาเป็นว่า บ่ายนี้ก็เลยเข้าไปดูเรื่องแรกเป็นแอนิเมชั่นฝรั่งเศสเรื่อง Princes & Princesses ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นหนังเด็ก ก็เลยหมดความสนใจ นั่งหลับไปตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งๆที่มีเสียงเด็กเจี๊ยวจ๊าวมากในโรง คือดีเหมือนกันนะครับ เค้าก็ไปหาเด็กๆลาวจากโรงเรียนมาดูกัน

ต่อมา ก็เป็นหนังลาว(กำกับโดยฝรั่ง)เรื่อง Intersection (Lao PDR, 52 mins) เป็นหนังที่แสดงด้านมืดของเยาวชนลาวยุคใหม่ โดยพูดถึงเด็กวัยรุ่นสองคนที่หลงเข้าไปยุ่งกับยาบ้า จนต้องพบกับบทเรียนราคาแพง หนังทั้งสั่งทั้งสอนในตอนจบ แบบที่ถ้ามาฉายเมืองไทยคงได้เรต ส. แต่อย่างว่าล่ะฮะว่า เมื่อมันถูกสร้างในลาว มันก็ให้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง ยิ่งถ้าจงใจสื่อสารถึงคนลาวและเยาวชนลาวได้มาชมกัน มันก็คงได้ผลในระดับที่เขาต้องการก็ได้ อันนี้ก็ไม่อยากทะเล้นไปรู้ดีอะไรมาก เพราะผมก็เพิ่งเข้าลาวมาได้สองสามวันเองอ่ะนะ คงต้องหาข้อมูลจากคนในพื้นที่ได้บ้าง แล้วจะนำมาบอกกัน

แต่หนังก็ถ่ายทำได้ดิบๆดีนะครับ มีเพลงฮิบฮ็อปลาวผสมปนเป เด็กวัยรุ่นชายสองคนที่มาเล่นก็เหมือนได้เห็นอยู่เมื่อวานซืนที่ลานริมน้ำโขง เป็นเด็กที่เกิดมาในยุคโลภาภิวัฒน์ ยุคที่ประเทศลาวต้องการการเติบโต ต้องการเพิ่มมูลค่าของจีดีพี อ้ารับการลงทุนจากต่างประเทศที่จ้องกันตาเป็นมันอยู่รายรอบด้าน แต่ขณะเดียวกันก็เห็นตัวอย่างแย่ๆของเพื่อนบ้านที่เปิดบ้านอ้าซ่าจนทรัพยากรธรรมชาติแทบไม่เหลือหลอ เศรษฐกิจโตพุ่งพรวด แต่ปัญหาของการโตเร็วเกินไป มันก็ไปสร้างปัญหาอื่นๆตามมาเป็นพรวน จะพูดไปทำไมมี เราก็มองเห็นๆอยู่

เราไม่โทษทุนนิยมเป็นตัวร้ายก็จริง และเราไม่คลั่งที่จะแช่แข็งชนบทให้เอาแต่พอเพียงแต่ไม่พอกิน แต่ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้เจอจุดสมดุลย์ได้ล่ะ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ลาวกำลังประสบ…

จบออกมา ก็พบว่า คนดูเริ่มหน้าเดิมๆนะครับ โดยเฉพาะทีมงานที่มีอยู่เยอะทีเดียว เริ่มมีนักท่องเที่ยวขาจรเดินแวะเวียนเข้ามาบ้างแล้ว ดูโปรแกรมแล้ว มันมีห้องเล็กๆฉายหนังอยู่ชั้น 4 อีกห้องหนึ่ง นอกเหนือไปจากหอประชุมใหญ่ ผมก็เลยขึ้นลิฟท์ไป ก็พบว่ากำลังฉายเรื่อง Days of Rain (Vietnam/Germany, 73 mins)อยู่พอดี งานสารคดีจากเวียดนาม เห็นได้ชัดว่าไปไกลกว่าลาวเยอะ ทั้งการถ่ายทำ และศิลปะในการเล่าเรื่อง เข้าไปนั่งดูเพลินๆก็จบ บรรยากาศในหนังเวียดนามมักเต็มไปด้วยฝน คนท้องถิ่นที่ทำทุกอย่างได้กลางฝน ดูไม่ทันรู้เรื่องอะไรหรอกครับ เพราะคนเริ่มทยอยกันขึ้นมาดูเยอะมาก นั่งบังกันไม่เกรงใจเลย โดยมากเป็นฝรั่งเกือบทั้งหมด

ต่อด้วยอีกเรื่อง เป็นสารคดีจากลาว เรื่อง Betting on Laos (Lao PDR, 26 mins) เป็นสารคดีแบบตรงๆโต้งๆเลย มีบรรยายดูท่าจะน่าเบื่อไม่น้อย แต่พอดูๆไปก็ อืมม์ โอเคแฮะ เล่าเรื่องการพัฒนาในปัจจุบันของลาวนี่แหละ ผ่านหัวหน้าหน่วยงานทางพันธุศาสตร์ และนักธุรกิจลาวยุคใหม่ที่เติบโตจากต่างแดน พวกเขาไปบุกป่าฝ่าดง ดูความหลากหลายทางชีวภาพ และการลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านที่รุกคืบเข้ามาในลาวอย่างเงียบๆ เป็นการเล่าคู่ขนานที่ชัดเจนและแข็งแรงดี เราได้เห็นทรัพยากรธรรมชาติของลาวอันอุดมเหลือหลาย(นี่ถ้าเป็นไทย ก็คงโฆษณาไปเลยว่า อุดมสมบูรณ์ที่สุดในสามโลก!) และเห็นช่องทางการลงทุนที่งดงาม อย่างการปลูกยางพารา ผ่านนายทุนชาวจีนและญี่ปุ่นสองคนที่เข้ามาซื้อที่ดินและจ้างชาวบ้าน สร้างงาน สร้างรายได้(แต่ทำลายดิน)

หนังเล่าจบแบบสรุปให้เรียบร้อยเลยว่า ชาวลาวพึงประจักษ์ว่า เฮาจะพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไรโดยไม่สูญเสียความอุดมของแผ่นดิน อืมมม์ เลือกตั้งหนนี้ มีพรรคไหนโหนนโยบายอย่างนี้บ้างมั้ยเนี่ย มีมั้ย? หา!

หนังจบไปพร้อมช่วงถามตอบ ของนักทำหนังซาวลาว ซึ่งดูยังหนุ่มยังแน่นคนหนึ่ง และอาวุโสคนหนึ่ง มาตอบคำถามได้อย่างชัดแจ้ง จัดเจน ดูมีความหวังสำหรับอุตสาหกรรมฮูบเงาของซาวลาวเป็นอย่างมาก เห็นได้ว่า หนังยาวเล่าเรื่องของพวกเขาก็เริ่มยืนด้วยตัวเองได้ ขณะเดียวกันงานสารคดีที่ใช้วิธีการที่ง่ายกว่ากัน หากต้องจับประเด็นที่แหลมคมก็กำลังก้าวหน้าไปได้ดีเช่นเดียวกัน แม้ตอนนี้จะยังอาศัยการช่วยเหลือจากองค์กรต่างประเทศอยู่มากก็ตาม (หนังสารคดีเหล่านี้ได้ทุนจากองค์กรทุนต่างประเทศทั้งสิ้น)

ยังฉากต่ออีกหลายเรื่อง แต่ผมขอลาออกไปหาอะไรกินก่อน เพราะคืนนี้ต้องเตรียมดู “ลุงบุญมีระลึกชาติ”(อีกรอบ) การได้นั่งดูหนังเรื่องนี้ในลาว ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ก็ให้รู้สึกปลื้มราวกับเป็นเจ้าของหนังเสียเอง(ทั้งที่จริงไม่ได้อะไรเกี่ยวด้วยเลย) และอยากดูปฏิกิริยาของคนดูทั้งฝรั่งและคนลาว คนอาเซียนเองด้วย ได้ผลอย่างไร จะนำมาเล่าสู่กันฟังนะคร้าบบบบ

เกรท


Vientianale Postcard Diary – Day 3

บัณฑิต เทียนรัตน์

โปสการ์ด 3

โปสการ์ดใบที่สาม
เวียงจันทร์ 13 พ.ค. 54

เย้ เขียนไทยได้แล้ว เมื่อวานเราย้ายมาอยู่ที่เฮือนพักมีไซ ถูกกว่าที่เดิมตั้งครึ่ง เหลือ 400 บาท(แสนกีบ)รวมอาหารเช้าและซี้ตี้วิว อยู่ชั้น4 มองลงมาเห็นวัดเต็มๆ(ซิตี้ตรงไหนวะ?) ห้องโปร่งเว่อร์ เพราะหน้าเตียงเป็นหน้าต่างยักษ์สามบานติดระเบียงเลย เหมือนห้องไม่มีผนัง คนข้างนอกมองเข้ามาได้สบายเลย

เมื่อวานไม่ได้ทำไรเป็นชิ้นอัน(เพราะวันแรกไปเดินเที่ยวซะเกือบหมดแล้ว) นั่งๆนอนๆผลาญเวลามาก(พยามจะทำสมาธิเหมือนกัน แต่…) เตรียมตัวตอนเย็นจะไปร่วมงานเปิด Vientianale (เค้าอ่านว่า เวียงจันทน์นาล)หรือ เทศกาลภาพยนตร์เวียงจันทน์ครั้งที่สอง ซึ่งกล้าดีจัดตรงกับคานส์เป๊ะเลย (But who care Cannes, huh? ^^) ฝนพรำตั้งแต่บ่าย ทำให้เรานั่งทอดอารมณ์อยู่แต่ในเฮือนพัก เน็ตก็เล่นได้ทางไอทัช ซึ่งพินาศมาก พิมพ์ไรก็ไม่เป็น(กรูโลว์เทคมาก) คิดถึงใครบางคนอีก ฮู่ว…

ฝนหยุดแล้ว อากาศเริ่มแจ่มใส ขึ้นห้องไปดูซิตี้วิวอีกรอบ เห็นวัดหลังเดิม(ก็แน่ล่ะสิ)ตั้งตระหง่านสงบงาม มองไปด้านขวาเป็นหลังคาบ้านและตึกแถว ลิบๆไปเป็นแม่น้ำโขงซึ่งช่วงนี้เหือดแห้งมากๆ เลยแว่บไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวม(แต่อาบทีละคน) กลับมาไม่ทันไร มองไปเห็นฟ้ามืดครึ้ม เมฆมืดทะมึนลอยต่ำมาเกือบติดหลังคา ฟ้าแล่บแปลบปลาบยังกะไฟช็อต อ่าว พายุมานี่หว่า ทำไมไม่มีใครบอก!

ฝนกระหน่ำลงมา หนักกว่าเมื่อบ่ายอีก ซัดระเบียงและห้องเราเต็มๆ ไอ้เราก็จะทำไงได้ล่ะ เลยนั่งอ่านหนังสือเล่นไปซะงั้น เรื่อง “ฝนตกขึ้นฟ้า” (ซึ่งพกมาได้ตรงสถานการณ์มาก) หนังสือพี่วินทร์ เริ่มสนุกเข้าไปทุกที พอๆกะฝนตกลงดินที่นี่จนน้ำเริ่มจะท่วมแล้ว เลยปิดหนังสือ เอาไงดีวะเนี่ย? กรูไม่ได้มาที่นี่เพื่อมานั่งตะบอยอ่านหนังสือนักเขียนซีไรต์นะ เลยลุกขึ้นยืนเอาไงเอากัน

พี่สาวยื่นเสื้อกันฝนม้วนๆเก๋ๆมาให้ก่อนมา โอว์ ต้องขอบคุณย้อนหลังหลายเด้อ เรารีบคว้ามาใส่อย่างรวดเร็ว เก็บกล้อง กระเป๋าตังค์ พาสปอร์ต ฯลฯ ใส่ถุงพลาสติก แล้วก็เดินฝ่าฝนออกจากเฮือนพักเลย ฝรั่งมองกันใหญ่ว่าไอ้นี่คงมีธุระร้อน ใช่สิ ก็งานเริ่มหกโมงครึ่ง ตอนนั้นมันก็มืดตื๋อแล้ว

เดินลุยฝนและน้ำท่วมบ้างพองามไปจนถึง Lao National Cultural Hall ซึ่งเป็นตึกทรงสถาปัตย์ลาวสูงใหญ่ เห็นรถคันใหญ่จอดอยู่ข้างหน้า เราก็มั่นใจว่างานคงไม่ได้ล้มเพราะพายุแน่ เดินก้าวเข้าประตูใหญ่ไป ก็เจอผู้คนเต็มไปหมดเลย หลายคนเปียกมะล่อกมะแล่ก แต่ก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งชาติไหนมั่งก็ไม่รู้ หน้าเอเชียก็มีบ้าง แต่ก็พูดภาษาอังกฤษกันคล่องแคล่ว เห็นหน้าตาประมาณคนลาวอยู่บ้างประปราย เข้าใจว่าคงเป็น “นักทำฮูบเงา “(คนทำหนัง) ของลาวเขานี่แหละ เห็นพี่โป๋ย ศักดิ์ชาย ดีนาน(ผกก. สะบายดี หลวงพะบาง)บอกว่าจะแวะมาร่วมงานด้วย แต่ไม่เจอแฮะ สงสัยจะติดฝน

เราเข้าไปซื้อเสื้อสีแดงสด เวียงจันทน์นาล ตัวละสามหมื่นกีบ(ประมาณ 120 บาท) เค้าไม่มีเงินทอนไทยเลยซื้อได้ตัวเดียว(อีกตัวว่าจะซื้อฝากป้าเจน) สังเกตๆดูก็มีสูจิบัตรเล่มสวย สีแดงสดเหมือนกัน มีซุ้มขายหนังสือลาว เชิงวัฒนธรรมบ้าง ท่องเที่ยวบ้าง แล้วทางซ้ายและขวาของโถงก็ขึ้นบอร์ดไว้ เป็นนิทรรศการภาพถ่ายเชิงชีวิตและวัฒนธรรมของคนลาว พอเป็นสีสัน

ว่าจะเข้าไปคุยกับคนจัดก็ดูสับสนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ตามข้อมูลแล้วเป็นฝรั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ซึ่งทำงานแบบองค์กรทางวัฒนธรรมที่ไม่แสวงผลกำไร(ประกอบไปด้วย Ak, Ding, Fanny, Helene, Irwin, Jorg, Lee & Simone) งานนี้ก็เลยฟรีทุกกิจกรรม

สักเดี๋ยวก็เลยเดินเข้าไปในหอประชุมซึ่งกว้างขวางพอๆกับศูนย์วัฒน์บ้านเรา พื้นและพนักเก้าอี้เป็นสีแดงสด(ที่นี่เค้าคงชอบสีแดงนะ) คนก็เริ่มทยอยกันเข้ามา มีนักท่องเที่ยวที่ทราบข่าวก็พากันมาไม่น้อยนะ รวมกับแขกวีไอพีด้านหน้าๆบ้าง(เราเห็นป้านักเขียนซีไรต์ลาวปีนี้ด้วย) ก็ทำให้งานคึกคักไม่น้อย น่าจะมีหลักร้อยทีเดียว

งานเริ่มแล้วครับ เค้าหรี่ไฟลงไปเลย เห็นคนเป็นเงาๆกลุ่มใหญ่เดินมานั่งเรียงแถวกันบนเวที นึกว่าจะลุกกันขึ้นมาร่ายรำล้านช้าง แต่ก็ผิดถนัด เพราะพอไฟเปิดเสียงดนตรีจังหวะฮิปฮ็อปก็สนั่นลั่นโลก หนุ่มๆบนเวทีก็โดดผลึงขึ้นมาเต้นบีบ็อบ!!! เรียกเสียงกรี๊ดลั่นหอประชุมด้วยความผิดคาด เพลงเปลี่ยนจังหวะไปเรื่อยๆ พร้อมๆหนุ่มนักเต้นจาก “ลาวบั้งไฟ” (ถ้าจำชื่อไม่ผิด)ก็โยกย้ายท่าเต้นไปอย่างพลิกแพลง ทั้งตีลังกา ต่อตัว กระโดดลอดดาก ทำท่างอก่องอขิง เป็นที่สนุกสนานอย่างยิ่ง เสียงตบมือออกเกรียวไป

เต้นกันอีกชุดสองชุดพอหอมปากหอมคอ ตอนหลังมีสาวๆมาเต้นแจมด้วย แต่ก็ออกแนวแข็งแรง ไม่ได้มีตรงไหนที่จะดูแล้ว “ล้าวลาว” เลยสักนิด (ลืมแคนไปได้เลย) จากนั้นก็เข้าสู่พิธีการที่น่าเบื่อเล็กน้อย เพราะต้องมีการแปลสองภาษาตลอดเวลา มีการเชิญประธานในงานซึ่งเป็นประมาณรัฐมนตรีที่ดูแลด้าน “ฮูบเงา” ขึ้นมากล่าวเปิดงาน ภาษาลาวนั้นฟังออกได้สบาย แต่ก็มีสำนวนที่สำหรับเราแล้วจะรู้สึกแปลก(ขำๆบ้าง) เช่น “เพื่อสิให้งานนี้มีความหมาย เฮาก็จะขอเซิ่นท่านประธานขึ้นมา….” หรือ เมื่อพูดถึงกิจกรรมเวิร์คช็อป…”เป็นการโอ้โลมที่มีคุณค่ามากต่อหมู่พวกเฮานักทำฮูบเงา…” ฯลฯ อะไรประมาณนี้

จากนั้นผกก.หนังที่จะฉายเปิดคืนนี้เรื่อง “ขอเพียงฮัก” (Only Love) ก็ขึ้นมากล่าว เขาคือ Anousone Sirisackda ที่ร่วมกำกับเรื่อง”สะบายดี หลวงพะบาง”กับพี่โป๋ยนั่นเอง คุณพี่ใส่สูทขึ้นมาเลย ดูเป็นทางการมาก มากล่าวทั้งภาษาลาวและภาษาอังกฤษว่า หนังเรื่อง ขอเพียงรัก เป็นผลงานของบ.ลาวอาร์ทมีเดีย ที่ถือว่าเป็นหนังยุคใหม่เรื่องแรกๆที่ใช้ทีมงานคนทำหนังของลาวเองทั้งหมด ต่างๆจากเรื่องอื่นๆที่ร่วมกับไทยบ้าง จีนหรือเวียดนามบ้าง ฉะนั้นเรื่องนี้จึงมีความเป็นลาวแท้ๆสูงมาก คุณอนุสรณ์แกก็ออกตัวไว้เล็กน้อยว่า “เนื่องจากหนังเรื่องนี้มีความดีบ้าง(อ่าว)…ถ่ายทำกันในซนนะบด ก็ขอให้สนุกสนานกับการซมเนาะ”

ไฟดับลงดื้อๆ แล้วหนังก็ฉายเลย “ขอเพียงรัก” เป็นหนังที่เราได้เห็นตัวอย่างแล้วตอนก่อนมา ตอนนั้นก็นึกค่อนในใจว่า ต๊าย มันช่างดูเชยเสียนี่กระไร พระเอกเรียนสูงรักกับนางเอกบ้านนา มุ่งหน้าจะพัฒนาท้องถิ่นด้วยกัน หากบ้านนางเอกติดหนี้สินกับนายทุนซึ่งมีลูกชายอันธพาล ก็เลยต้องยอมไปขัดดอกอะไรประมาณนั้น พระเอกก็หน้าตาบ๊านบ้าน ตัวร้ายหน้าเหมือนอาจารย์เชน จตุพล ชมพูนิช ส่วนนางเอกรอดตัวไปเพราะสวยใสเหมือนน้องคำลี่จาก สะบายดี หลวงพะบาง การถ่ายทำก็ดูพื้นๆง่ายๆ มุมกล้องเฉยๆเชยๆเอื่อยๆ แล้วมันจะไหวเร้อออออ???

หากพอดูเข้าจริงๆก็ผิดคาด แม้ว่าเนื้อเรื่องก็เป็นไปตามที่ว่าไว้นั่นแหละ หากการเล่าเรื่องก็ราบรื่นไหลลื่นดี พระเอกนางเอกคิดอะไรก็พูดออกมาหมด ไม่มีอะไรต้องสงสัยกังขา อยากจะแฟลชแบ็คอะไรก็ตัดภาพฉึบฉับไปเลย ขึ้นต้นลงท้ายแบบเดาได้ไม่มีหักมุม จบแบบแฮ็ปปี้เอนดิ้ง ทุกคนมีความสุขร่วมกัน ดำเนินเรื่องคล้ายๆละครทีวีช่องเจ็ดสมัยก่อนยังไงยังงั้น แต่หลังดูจบ ผมกลับไม่อยากลุกจากที่นั่งเลย รู้สึกประทับใจเอมอิ่มและรักทีมงานฮูบเงาลาวเหลือเกินที่สร้างสรรค์งานชิ้นนี้ออกมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงพวกเขาจริงๆ

ทำไมเป็นงั้นล่ะ? เพราะเนื้อเรื่องที่เรารู้สึกว่าเชย หากมันก็เป็นความเชยที่พอเหมาะพอดี หนังเกิดขึ้นในชนบทลาวที่ชีวิตยังคงดำเนินไปช้าๆ ทุกคนเป็นเกษตรกรที่แม้จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ก็ยังคงเป็นระยะเริ่มแรก นายทุนจากเมืองใหญ่ที่เห็นแก่ตัวก็ยังต้องพัฒนาตัวเองไปอีกเยอะกว่าจะชั่วร้ายได้เต็มที่(เหมือนในประเทศไทยที่สังคมเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแทบจะถอนรากถอนโคน) พระเอกจบการศึกษาจากในเมือง และมุ่งมั่นกลับไปพัฒนาท้องถิ่นด้วยเกษตรทฤษฎีใหม่กับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำสกัดชีวภาพ และการสร้างฝายขนาดเล็กๆ รวมถึงรื้อฟื้นศูนย์พัฒนาอาชีพด้วยกองทุนหมู่บ้าน เพื่อสร้างความเข็มแข็งให้แก่ชุมชน (พี่แกเรียนจบอะไรมาเนี่ย?)

กิจกรรมทั้งหมดนี้เกิดเคียงคู่ไปกับความรักอันแสนบริสุทธิ์ระหว่างหนุ่มสาว จนเรียกได้ว่า ความรักเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรื่องงาน (“ขอให้ฮักเฮามั่นคงตลอดไป ตราบเท่าที่เฮายังมีศูนย์พัฒนาอาชีพท้องถิ่น…” พระเอกให้สัจจะกับนางเอก เอ่อ..) คือมันเป็นความซ้ำซากที่ถ้าปรากฎในหนังไทยคงไม่แคล้วโดนด่า หากเมื่อมันเป็นหนังลาว มันไม่ใช่ความซ้ำซาก แต่มันกลมกลืนไปกับตัวละคร สถานที่ถ่ายทำ บทสนทนา การดำเนินเรื่อง การถ่ายภาพ แม้แต่ของประกอบฉาก ฯลฯ

ตัวร้ายเป็นหนุ่มเกกมะเหรกที่สร้างภาพให้เวียงจันทน์ดูเหมือนเมืองนรก(มีแต่ภาพผับและสาวใส่สายเดี่ยว)เมื่อเทียบกับชนบทที่แลดูเหมือนสวรรค์บ้านนา(ของจริง) หากหนุ่มเกเรก็ได้เรียนรู้จากความรักอันยิ่งใหญ่ของหนุ่มสาวบ้านนาที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงในสังคม และมุ่งมั่นที่จะรับมือกับมันอย่างเข็มแข็ง ไม่ได้ต้องการที่จะฟรีซบ้านนาเอาไว้ให้พอเพียงเหมือนหมู่บ้านในจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นไปได้จริง

หนุ่มบ้านนาการศึกษาสูงเอง ก็ได้เรียนรู้ว่า การลงมือพัฒนาด้วยสองมือนั้นยากเย็นเพียงใด ทุกอย่างได้มาด้วยความอดทนอดกลั้น ฝ่าฟันและลองผิดลองถูก ความสำเร็จไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือเทพที่ไหนมาประทานให้ และไม่เกี่ยวอะไรกับการสร้างภาพ ทุกอย่างคือของจริง อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง คนในหมู่บ้านที่ดูเหมือนใสสะอาดก็มีทั้งคนดี คนเลว คนเห็นแก่ตัว คนซื่อ คนเซ่อ(หรือแม้แต่วายร้ายกะเทย!)

นางเอกนั้นเล่า น้องดวงใจเป็นตัวแทนของสาวยุคเก่าที่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปกับความงามแบบสมัยใหม่ เหมือนน้องหลุดมาจากตำราสอนหญิงในทัศนคติของชนชั้นกลาง(ผู้ชาย) ผมไม่แน่ใจว่า คาแรกเตอร์นี้คือสาวลาวในอุดมคติที่คนลาวอยากเห็นหรือเป็นสาวลาวทั่วไปที่มีอยู่จริง แต่จะอย่างไรก็ตาม เธอคือ หญิงงามที่ผู้ชายทุกคนในโลกและแม่ผัวทุกคนอยากได้ เพราะ “สวย บริสุทธิ์ ว่าง่าย หัวอ่อน”

แต่อย่านึกว่าเธอจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เพราะหลายช็อตในหนัง ดวงใจทำเอาหนุ่มๆหัวปั่น เนื่องจากความเข้มแข็งที่เธอต้องเลือกเพื่อความรักของตัวหรือเพื่อความกตัญญูต่อบุพการี…น้องนางเอกในเรื่อง สวยใสไม่แพ้น้องคำลี่จากสะบายดีหลวงพะบาง และแสดงออกทางสีหน้าได้ดีมากๆ ยิ่งเวลาเธอเศร้านั้น หัวใจเราแทบจะหลุดลอยตามไปทีเดียว

โลเกชั่นในเรื่องนั้น ผมไม่แน่ใจว่าถ่ายกันที่ไหน แต่มันสวยจนน่าตื่นตะลึง เทือกเขาสูงชันเรียงราย ใกล้หมู่บ้านที่ปูไปด้วยผืนนาสีเขียวสด มีหมอกขาวลอยเรี่ยห่มคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน ลำธารใสราวกระจกไหลเลื้อยผ่าน ยินแต่เสียงน้ำไหลรินและเสียงลมพัดเอื่อยๆ หนุ่มสาวหน้าใสเดินจับมือสัญญาใจกันใต้ร่มไม้ใหญ่ “ฮักเฮาจะอยู่คู่กันตลอดไป ตราบที่เฮายังมีศูนย์พัฒนาอาชีพชาวบ้าน (อ่าว)…”

แต่ก็มีหลายอย่างที่เล่นเอาผมขำกึกๆในลำคอ มันคงเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “ความซื่อ” ละกระมัง (ตามประสาคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่า) เช่น ไอ้ตัวร้ายเดินถือปิ่นโต ทำท่าจะป้อนนมไวตามิลค์กล่องกะนางเอก, ฉากพระเอกนางเอกดูด “น้ำมะขาม” สูตรคุณแม่, ธนาคารลาวในเวียงจันทน์, การถ่ายทำในรถหรือฉากฝนตกพายุโดยใช้บลูสกรีน ฯลฯ อันนี้ต้องดูเองฮะ

อ่อ ที่อยากพูดถึงอีกอย่างคือการแสดง เป็นการแสดงที่เรียบเรื่อยเอามากๆๆ พระเอกนางเอกตัวร้ายเหมือนพูดกระซิบกระซาบกันในลำคอ เล่น “เล็ก” มากๆๆ แม้แต่ในฉากทุ่มทะเลาะกันตอนท้ายเรื่อง ก็เล่นได้แบบแพ้ละครโทรทัศน์ไทยราบคาบ คนลาวก็นิยมละครไทยออกจะตาย น่าจะชินกับการวี้ดว้ายตบกันกระจายมากกว่านี้(หรือจะถือเอาเป็นแบบอย่างที่เลวก็ไม่รู้สิ) แล้วอย่างมากที่สุดที่พระเอกนางเอกจะทำคือ จับมือ

อ่อ ฉากที่ตัวร้ายจะปล้ำนางเอก ก็ให้เห็นเป็นเงาๆผ่านกระจกห้องนอนเท่านั้น คือทั้งหมดดูแล้ว เหมือนย้อนไปดูหนังไทยยุคเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มันเป็นคลิเช่ที่ให้ความรู้สึกดีจริงๆ

จริงๆยังมีแง่มุมให้จับได้อีกเยอะเหมือนกัน แต่นี่ก็ยาวมากแล้ว เอาเป็นว่า “ขอเพียงฮัก” ทำให้ค่ำคืนฉ่ำฝนในเวียงจันทน์วันนี้ของผมเป็นคืนที่น่าประทับใจ และเอมอิ่มเหลือเกิน หนังเลิกไปอย่างง่ายๆพร้อมคนดูที่พึมพัมกันทั้งโรง ผมได้แต่เสียงทำนองว่า “That’s magical, magical….”

ครับ มันอาจไม่ใช่หนังที่เลอเลิศ มีฉากประดักประเดิดในตอนท้ายหลายช็อต หากมันก็มุ่งมั่นให้ความบันเทิงเต็มที่ มีความพยายามในการผูกเรื่องให้ซับซ้อนและพยายามคลี่คลายอย่างสมเหตุสมผล ใช้การตัดต่อที่เรียบง่ายก็จริง แต่ก็ดูออกว่ามีลูกเล่น สกอร์ที่โหมประโคมมากไปสักนิด แต่ก็ไปกันได้ดีกับการเร้าอารมณ์แบบเมโลดราม่าแท้ๆ

อย่าว่าผมเว่อร์ แต่นี่คือ “ผลิตภัณฑ์” ของคนทำฮูบเงาลาวที่พวกเขาสมควรภูมิใจ และมันจะฉายที่ไหนก็ได้แบบไม่ต้องอายใคร เพราะในความเป็นตัวตนที่แท้ของงานศิลปะ หาใช่ความงามที่ไร้ที่ติ หากควรเป็นสิ่งที่จุไปด้วยเลือดเนื้อ จิตวิญญาณ และความดีเลว…ณ จุดนี้ “ขอเพียงฮัก” ทำหน้าที่ของงานศิลปะได้ดียิ่งแล้ว

…ผมเดินทอดน่อง กลับไปยังเฮือนพัก ฝนหยุดไปนานแล้ว แต่ฟ้ายังฉ่ำอยู่ แม้จะเป็นเมืองหลวงหากเวียงจันทน์เงียบเอาเสียจริงๆ มีร้านก๋วยเตี๋ยวเปิดดึกๆอยู่ไม่กี่ร้าน พอให้ผมเข้าไปฝากกระเพาะได้ มีมินิมาร์ทอยู่ร้านหนึ่งใกล้ๆ มองไปไม่เห็นแม้แต่เซเว่นอีเลฟเว่น…

ทุกอย่างในลาวเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ หรือว่าโลกใบนี้มันหมุนเร็วเกินไป…


Vientianale Postcard Diary – Day 1

หมายเหตุ : กลแสงได้รับเกียรติจากผู้สื่อข่าวภาคสนามพิเศษ (เรียกให้เท่ห์ๆ) คุณบัณฑิต เทียนรัตน์ ที่เดินทางไปร่วมเทศกาลหนังเวียงจันทน์ โดยคุณบัณฑิตจะเก็บเอาบรรยากาศและเขียนบันทึกถึงหนังที่ฉายมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ขอบคุณคุณบัณฑิตมาณ.ที่นี้ด้วยครับ

.

บัณฑิต เทียนรัตน์

โปสการ์ด 1

First Postcard to you guys…
Vientiane 11/5/11…

Sabaidee…I just hit Vientiane right now!, staying at Phoxay Hotel…700 B/night…more like to make it cheaper at any guest houses but the lousy tuk-tuk driver headed me here..but due to the lovely condition, good fan good bed & my own toilet, not bad for any alone tourist…,so far…so good. Oh, my gut’s singing now, need to attack some local restaurant…bye bye…cya!

great
PS. Alone but not lonely(I hope)

(picture above from internet)


Vientianale Postcard Diary – Day 2

บัณฑิต เทียนรัตน์

โปสการ์ด 2

Second postcard…
Vientiane, Lao pdr 11/5/11

…My first half of the day had been pretty dull…as it’s been burning but raining afterward…I made my mind to take a good damn sleep called Ziesta!!! haha…at my hotel…instead of wandering around(yes, I was…but after having lao style hot noodles for lunch…I headed back!)…

But the last half of the day has been cool…a bit chilling…I took a slow pace pointlessly around Vientiane…anyway here’s not metropolitan…you can walk around the town in 1 day…finally,I found the good place for dinner…Kob Jai Der restaurant is the hope!! nice traditional foods with one bottle of Beer Lao(my intention not to drink Alcohol was broken! but just one anyway)…and then…take strolling around…for digesting walk also.

I found that the Mae Khong river side is amazing…it’s very huge space for whatever things you wanna do but that’s so calm & lovely…Laotians just been walking slowly, chatting, relaxing, and doing a bit exercise…and the teenagers have played skateboarding in groups with impressive technique and style…that’s so cool!!…I took a video in every part of the activities…

I ended up with the new accommodation…it’s sort of a guest house but its price is down in half!!!(compare with the current one I took)…no TV, no Internet(Just wi-fi) and bathroom shared…but good backpackers shouldn’t have cared about those, shouldn’t we?…and someone on the counter called me…Handsome!(hahaha, she is he! or he is she!) anyway, it wasn’t the reason I chose it for tomorrow night anyway…555

After that, I found by chance the pretty lovely local food venues…a lot more like in Thailand such as, Soi milk, Patongo…Duck noodles, Kao Rad Gang, sweet desserts, fruits and so on…hidden in the dark & dim little streets…but it comes out of it in circle at my hotel eventually…smart route!

Tomorrow will be the day of the opening ceremony of Vientianale(12-15 May, 2011)…at the Lao National cultural hall…it seems to be too silent not like the others in Asia but who cares? I am here due to my plan deliberately…That’s it.

Sabaidee Luangprabang’s director “Sakchai Deenan” is gonna come here to join it too…and we have a plan to meet up(would be just 2 Thais here!)…it’s not too alone to be here…Vientianale’…^^

great
PS. I’m missing someone like crazy right now…

(picture above from internet)


MUBI เปิดหนังคานส์สาย Critic’s Week ให้ดูฟรี!

mubi

MUBI หรือชื่อเดิม The Auteurs คือโซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับคอหนัง ที่มีหนังไว้บริการมากมายหลายระดับ โดยหนังสั้นจะเก็บค่าชมเรื่องละหนึ่งดอลลาร์ หนังยาวเรื่องละสองดอลลาร์ และสามารถเลือกเสียค่าสมาชิกรายเดือนหรือตลอดชีพแบบเหมาจ่ายได้ เพื่อดูหนังแบบไม่จำกัดจำนวน

อีกเซ็คชั่นหนึ่งที่ MUBI มีไว้ก็คือหนังที่เปิดให้ชมฟรีออนไลน์ ซึ่งจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป (มีบางเรื่องที่เปิดให้ชมฟรีมานาน เช่น The Housemaid ของ Kim Kui-young, Dry Summer ของ Metin Erksan และ Alice in Wonderland เวอร์ชั่นปี 1903 ของ Cecil Hepworth และ Perci Stow เป็นต้น) เยอะบ้างน้อยบ้างแล้วแต่โอกาส แต่สำหรับช่วงเมืองคานส์ หนังดูฟรีที่ทาง MUBI เลือกมานั้นเรียกว่าเข้าขั้นล้นทะลัก!

ดูรายชื่อหนังฟรีทั้งหมดได้ที่นี่ http://mubi.com/watch?utf8=%E2%9C%93&genre_id=&sort=free (ต้อง register ก่อนจึงจะดูได้)

แต่หนังฟรีเหล่านี้มีระยะเวลาจำกัด โปรดชมก่อนหมดเขต และอย่าชะล่าใจ!


แมลงสู้! : ระดมทุนสู้คดี Insects in the Backyard

แมลงสู้!

ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ และ iLaw กำลังต่อสู้คดี Insects in the Backyard ในชั้นศาลปกครอง
โดยแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเองตามลำพัง

ทว่า ผลจากการฟ้องครั้งนี้อาจนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 เราจึงขอชวนคุณมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้
ด้วยการบริจาคเงินสมทบทุนเป็นค่าใช้จ่ายแก่พวกเขาในการสู้คดี

เพราะนี่คือเส้นทางสู่สิทธิและเสรีภาพของเราทุกคน จึงไม่ควรปล่อยให้ใครต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวแทนเรา มิใช่หรือ

รายละเอียดการโอนเงินสมทบทุน
ธนาคารกรุงเทพ บัญชีออมทรัพย์ สาขาย่อย เทสโก้ โลตัส ลาดพร้าว
เลขที่บัญชี 035-0-04666-0 ชื่อบัญชี นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

(ติดตามความคืบหน้าของคดีได้ที่ BIOSCOPE
และเงินที่เหลือหลังการสู้คดีเสร็จสิ้น ธัญญ์วารินจะมอบให้แก่หอภาพยนตร์ทั้งหมด)

(เพิ่มเติม…)


ตัวอย่างหนังคานส์ 2011

ดูตัวอย่างหนังคานส์ปี 2011 ได้แล้วที่channel นี้ใน youtube ครับ

http://www.youtube.com/user/cinephiliade

(เพิ่มเติม…)


2nd Vientianale : มหกรรมรูปเงาสากลที่ สปป ลาว, 2011

เวียงจันนาน มหกรรมรูปเงาสากลที่ สปป ลาว 2011

เทศกาลหนัง Vientianale จัดครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ได้เสียงตอบรับดีพอควร และครั้งที่สองของเทศกาลนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์หน้านี้ ที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว – ปีนี้งานจัดใหญ่ขึ้น เพราะเทศกาลย้ายมาฉายหนังที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติลาว (จากที่ปีก่อนจัดที่ Lao-German House ซึ่งให้ฟีลเหมือนสถาบันเกอเธ่ของที่นั่น) ในวันที่ 12-15 พฤษภาคม จัดฉายทั้งโปรแกรมหนังสั้นและหนังยาว โดยเน้นหนักที่หนังลาวกับภูมิภาคอาเซียนทั้งเก่าใหม่ ตารางฉายทั้งหมดของเทศกาลดูได้ที่นี่

เทศกาลแบ่งฉายหนังเป็น 4 กลุ่ม คือ “รูปเงาจากเพื่อนบ้านของพวกเรา” (หนังเอเชียเร็วๆนี้ เช่น ลุงบุญมีระลึกชาติ และ Sepet) “รูปเงาแสดงภาพสากล” (หนังทั่วโลก เช่น หนังดังปรอทแตกอย่าง Run Lola Run ไปถึงอนิเมชั่น Princes and Princessess) “รูปเงาสำหรับเด็ก” และ “นางโอ กลับบ้าน” ที่ทางเทศกาลนิยามไว้ว่า “เป็นการเฉลิมฉลองรูปเงาที่สร้างในประเทศลาว และเกี่ยวกับประเทศลาว” – นอกจาก 4 กลุ่มนี้แล้วหนังยังแยกฉายอีกหลายโปรแกรม เช่น หนังสั้นจากพม่า, หนังสั้นจากเวียดนาม, หนังสั้นจากกัมพูชา, หนังสั้นนานาชาติ, โปรแกรมหนังเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่นฐาน (Migration) ไปจนถึงคอนเสิร์ตเพลงร็อคที่หน้าเทศกาล!

ส่วนสายประกวดของเทศกาลนั้นจำกัดเฉพาะคนทำหนังที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว ปีนี้มีสองสายได้แก่ สายประกวดหนังสั้น (ทำหนังตามโจทย์ ความยาวไม่เกิน 11 นาที) และสายประกวดหนังที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ สำหรับคนทำหนังหน้าใหม่ (มีโจทย์กว้างๆ ให้ ความยาวไม่เกิน 2 นาที และผู้ส่งผลงานอายุต้องไม่เกิน 16 ปี)

หนังเปิดเทศกาลปีนี้คือ Only Love หรือ ‘ขอเพียงรัก’ ผลงานหนังลาวเต็มตัวของ อะนุสอน สิริสักดา ผู้กำกับร่วมของ ‘สะบายดี หลวงพะบาง’ เรื่องย่อคงไม่ต้องเล่าเพราะเป็นเรื่องรักคลาสสิกที่ทั่วโลกคุ้นเคย ตัวอย่างหนังอยู่ด้านล่างนี้แล้ว


CHIThe 8th World Film Festival of Bangkok : 5 – 14 Nov 2010 บางอย่างบนวงแหวน ‘รอบ’ จักรวาล

นับวัน นับคืน

1.

ผมชอบดูหนัง, ผมชอบดูหนังในเทศกาลหนัง

เพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ดูหนังที่อาจไม่มีโอกาสฉายในโรงหนัง, ในโรงหนัง

2.

คืนแรกของเดือน ลมเย็นมาเยือนตั้งแต่หัวค่ำ

มันเป็นลมเย็นของเดือนพฤศจิกายนที่หวน “รอบ” กลับมาพร้อมกับเทศกาลหนังโลกแห่งกรุงเทพฯ ทุกปี และเป็นช่วงพิเศษใน “รอบ” ปีที่ผมจะขลุกตัวอยู่กับการดูหนังแบบ “รอบ” วันต่อ “รอบ” คืน

ช่วงสายๆ ผมจะนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีสยาม / เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน / ยืนกดเรียกลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 5 / เดินออกเลี้ยวไปบริเวณลานโถงโรงหนังพารากอนซีนีเพล็กซ์ / ตรงไปที่โต๊ะเคาน์เตอร์ของเทศกาลหนังโลกฯ / ยืนยิ้มทักทายให้ทีมงาน / แสดงบัตรผู้สื่อข่าว / บอกชื่อหนังที่จะดูในวันนั้น / ทีมงานก้มหน้าหาคูปองหนังเรื่องที่ผมจะดู / ได้แล้วก็เงยหน้ายิ้มพร้อมยื่นให้ / ผมยิ้มรับพร้อมบอกขอบคุณ / หันหลังเดินไปเข้าช่องต่อคิวเพื่อแลกคูปองเป็นตั๋วหนัง / พนักงานโรงหนังออกตั๋วหนังพร้อมเลขที่นั่งให้ / รับแล้วก็มานั่งเล่นคอยเวลาหนังฉาย / ลุกขึ้นเมื่อได้เวลาหนังจะฉาย / ยื่นตั๋วหนังให้พนักงานโรงหนังตรวจ / เดินผ่านเข้าไปในโรงหนัง / เข้านั่งตามเลขที่นั่ง / เอนหลังงีบหลับตา / สะดุ้งลุกขึ้นยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี / นั่งลงดูหนังจนหนังจบ / นั่งต่อถ้ามีรายการพูดคุยกับผู้กำกับหนังเรื่องที่เพิ่งดูจบ / ลุกขึ้นเดินออกจากโรงหนัง / นั่งเล่นคอยเวลาหนังเรื่องถัดไป / จนหมดหนังเรื่องที่จะดูในวันนั้น / เดินไปกดเรียกลิฟท์ลงไปที่ชั้น M / เดินออกจากประตูห้างฯ / แล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน

ช่วงสายๆ ของวันรุ่งขึ้น ผมก็วน “รอบ” แบบนี้ซ้ำอีกครั้ง

และวน “รอบ” แบบเดิมอย่างนี้อีกครั้ง และอีกครั้ง จนหมด 9 วันของเทศกาลฯ

3.

ผมว่า เทศกาลหนังโลกฯ นี้ไม่เหมือนเทศกาลหนังอื่นๆ ในเมืองไทย

อาจดูเล็กๆ แต่คุณภาพของหนังที่เลือกมาฉายกลับ “ใหญ่” เกินตัว

อาจดูเหงาๆ แต่กลับ “อุ่น” ด้วยความเป็นกันเองของพี่ๆ น้องๆ ในทีมงาน

หนังดีๆ กว่า 100 เรื่องที่คัดสรรจากหลากหลายประเทศทั่วโลกด้วยงานหนังหลากหลาย ทั้งหนังยาว หนังสั้น หนังเพลง หนังสารคดี หนังทดลอง

และที่ผมชื่นชอบ “มาก” กว่าเทศกาลหนังอื่นๆ ในเมืองไทย ก็คือการคัด “หนังไทย” อินดี้..ที่มีเนื้องานโดดเด่นของปีนั้นมาร่วมฉายในเทศกาลฯ

ผมดีใจที่คนไทยจะได้ดูหนังไทยอินดี้ดีๆ ฝีมือคนไทย..แทนที่จะมีแต่ฝรั่งที่ได้ดู

และยิ่งรู้สึกดีที่ตัวเองก็ได้ดูหนังไทยเหล่านี้ทุกเรื่อง

4.

หนนี้ ผมดูหนังกว่า 20 เรื่องในเทศกาลฯ

มีหนังไม่กี่เรื่องที่ดูแล้วก็อยากจะย้อนเวลากลับไปดูหนังเรื่องอื่นแทน เหมือนที่มีหนังบางเรื่องเมื่อดูจบแล้วก็อยากย้อนกลับไปดูซ้ำอีก “รอบ” หนึ่ง

และในบางเรื่องนั้น, ผมอยากดูหนังเรื่อง “Au Revior Taipei” ซ้ำอีกครั้ง

ผมชอบหนังเรื่องนี้กว่าเรื่องอื่นๆ เพราะดูแล้วมี “ความสุข”

หนังไต้หวันของผู้กำกับ Arvin Chen กับบทหนังลงตัวง่ายๆ ที่ “เก็บ” ทุกรายละเอียด “ซุก” ในคำพูด “ซ่อน” ในการกระทำ “เติม” จังหวะ “เรียก” รอยยิ้ม และ “เต็ม” ไปด้วยชีวิตชีวา

เรื่องวุ่นๆ ที่หมุน “รอบ” หัวใจคนสองคน

ผู้ชายคนหนึ่งที่ขลุกตัวอยู่ในมุมร้านหนังสือ และเฝ้าหยิบตำราฝึกหัดภาษาฝรั่งเศสจากชั้นวางขายมาอ่านฟรีเพื่อเรียนฝึกพูดด้วยตัวเอง ด้วยหวังว่าสักวันเขาจะตามแฟนสาวไปอยู่ด้วยกันที่กรุงปารีส

เขาไม่พูดกับใคร และไม่มีใครพูดกับเขา เขานั่งอยู่คนเดียวเอาแต่หัดพูดภาษาฝรั่งเศส

วันแล้ว วันเล่า, จนเขาได้ยินเสียงพูดทักทายจากผู้หญิงพนักงานขายหนังสือในร้าน

แล้วเรื่องวุ่นๆ ก็เริ่มหมุนเขากับเธอมาพบกัน..ในค่ำคืนก่อนที่เขาจะเดินทางไปกรุงปารีส จนกลายเป็นโลกวุ่นๆ ที่หมุนหัวใจของเขามาเจอกับเธอก่อนที่จะจากกัน

ผมเผลอยิ้ม เพราะหนังจบอย่างที่อยากให้เป็น

ผมเผลอคิดถึงใครบางคน เพราะคล้ายแผ่นดินไหว “รอบ” หัวใจกว่าที่เป็น

ผมว่า การทำหนังรัก..ให้ “ยิ้ม” น้อยๆ แต่หัวใจ “เต้น” แรงๆ เป็นเรื่องของฝีมือที่หาไม่ได้ง่าย

และผมเลือกเรื่องนี้เป็นหนังประจำเทศกาลฯ ครั้งนี้ของผม

5.

ช่วงสายๆ ของวันนี้ ผมนั่งเขียนรอยจำถึงเทศกาลหนังโลกฯ

ไม่รู้ทำไม, จู่ๆ ผมก็นึกเห็นภาพโลกกำลังหมุนตัวในห้วงจักรวาล

ผมรู้สึกว่าโลกไม่ได้หมุนด้วยตัวเอง แต่คล้ายมีวงแหวนที่มองไม่เห็นกำลังเหวี่ยงให้โลกหมุน “รอบ” ตัวเองอย่างช้าๆ

วูบนั้น ผมนึกถึงรอยยิ้มของทีมงานบางคนที่ผมได้เจอหน้า

แล้ววูบจากนั้น ผมกลับนึก “ขอบคุณ” ทีมงานทุกคนที่ผมไม่ได้เห็นหน้า

6.

ผมชอบลมต้นหนาวตอนปลายปี

อย่างน้อย, มันก็ทำให้ผมรู้ว่าโลกยังหมุนตัวอยู่กลางจักรวาลไม่เคยหยุด

เหมือนจะทำให้ผมรู้ว่า “บางอย่าง” ที่เคยจากไป

กำลังหมุน “รอบ” กลับมา,

ละน้อย ละนิด


ATOL ‘s Guide to WFFBKK ’10 Part 2

1.Crossing the Mountain( Yang Rui/2010)

Review : http://english.cri.cn/7146/2010/05/19/2041s570684.htm

http://www.berlinale.de/en/archiv/jahresarchive/2010/02_programm_2010/02_Filmdatenblatt_2010_20102851.php

http://www.chinesefilms.cn/1/2010/03/14/21s320.htm

 

2. A Film Unfinished  ( Yael Hersonski /2010)

review :

http://movies.nytimes.com/2010/08/18/movies/18unfinished.html

http://www.allvoices.com/news/6876980-false-witness-yael-hersonski-on-a-film-unfinished

interview :

http://blog.beliefnet.com/moviemom/2010/08/interview-yael-hersonski-of-a.html

 

3. ฺBorder ( Harutyun Khachatryan/2010)

interview : http://www.panarmenian.net/eng/culture/interviews/43151/

official site   : http://www.border.am/en/harutyun-khachatryan/

review : http://www.kinokultura.com/2009/26r-border.shtml

 

4. The Way Between Two Points (Sebastian Diaz Morales /2010)

from Rotterdam :

http://www.filmfestivalrotterdam.com/en/films/el-camino-entre-dos-puntos/

Director ‘s official site:

http://sebastiandiazmorales.net/sebastiandiazmorales.net/TheWayBetween.html

 

 

 


ATOL ‘s Guide to WFFBKK ’10 Part 1

1.The Portuguese Nun (Eugene Green /2009)

http://www.slantmagazine.com/film/review/the-portuguese-nun/5103

http://www.theepochtimes.com/n2/content/view/44686/

บทความเกี่ยวกับ Le Monde Vivant หนังเรื่องก่อนหน้าของEugene Green (ไทย)

http://filmsick.exteen.com/20091229/la-monde-vivant-eugene-green-2003-france

2.The Heart of No Place (Rika Ohara /2010)

trailer : http://www.vimeo.com/7091573

fb: http://www.facebook.com/pages/The-Heart-of-No-Place/118308778187831

more about Rika Ohara :http://www.la-artist.com/rika_ohara.html

wiki : http://en.wikipedia.org/wiki/The_Heart_of_No_Place

3. The Sound of Insects : ( Peter Liechti /2009)

trailer : http://www.dailymotion.com/video/x9mm48_the-sound-of-insects-record-of-a-mu_shortfilms

official info: http://www.peterliechti.ch/page.php?en,0,16,0

more iformation about Peter Lechti : http://www.peterliechti.ch/page.php?en,2,0,0

review : http://www.variety.com/review/VE1117940715.html?categoryid=31&cs=1

http://oleszczyk.blogspot.com/2010/01/sound-of-insects-record-of-mummy-2008.html

4. Three Weeks Later (José Luis Torres Leiva/2010)

review : http://www.fidmarseille.org/dynamic/index.php?option=com_content&task=view&id=726&Itemid=62&lang=english


Nights of Cabiria (1957) Federico Fellini

วิจารณ์หนังทั้งน้ำตา # 1

โดย หนุ่มโรงงานน้ำตา Melanchoholics

จาก ประสบการณ์เดินทางไปปารีสอยู่หลายหน ผมพบเรื่องหนึ่งซึ่งน่าแปลกประหลาด (แต่น่าจะมีความจริงอยู่เยอะที เดียว) คือ มีดัชนีชี้วัดความเป็นร้านอาหารอิตาเลียนแท้โดยคนอิตาลีแท้ (ไม่ใช่ปะปนรส ชาติอื่นโดยพ่อครัวยุโรปตะวันออกหรือแอฟริกา) คือ จำนวนรูปขาวดำวัยสาวของโซเฟีย ลอเรนซ์หรือไม่ภาพประกอบฉากของหนังที่กำกับโดยเฟเดอริโก้ เฟลินี่ ถึงขนาดว่ามีร้านอาหารอิตาเลียนร้านหนึ่งใกล้สถานีรถไฟ Gare de Lyon ในใจกลางปารีสที่ตั้งชื่อว่า La Dolce Vita ตามชื่อหนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเฟเดอริโก้ เฟลีนี่ (หนังเรื่องนี้ให้กำเนิดศัพท์คำว่า ปาปารัสซี่ ซึ่งชื่อของตัวละครตัวหนึ่งที่เป็นตากล้องหนังสือพิมพ์กอสซิปคอยซอกแซกคนดัง ไปทุกที่)

ภาพยนตร์ของเฟเดอริโก เฟลินี่ แทรกซึมในวิถีชีวิตและทัศนคติของคนอิตาลียุคทศวรรษห้าสิบถึงหกสิบอย่างมีนัย สำคัญ การมองโลกอย่างเย้ยหยัน ความสัมพันธ์ที่โดดเดี่ยวระหว่างแต่ละปัจเจกบุคคล การใช้สัญลักษณ์ซับซ้อนแอบซ่อนทางศาสนาซึ่งมักมีนัยว่าศรัทธาที่มนุษย์มีต่อ พระเจ้ากำลังอ่อนแรงลงทุกที ทุกเรื่องที่เขากำกับจะต้องมีการจำลองฉากชีวิตให้เหมือนหรือคล้ายโรงละคร สัตว์ และมักปิดท้ายด้วยความขื่นขม อาจมีปนซึ้งบ้างก็บางโอกาส นอกจากนี้ ยังมีดนตรีประกอบโดยนักแต่งเพลงคู่บารมีชื่อ นีโน่ โรต้า (ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ระยะยาวทางอาชีพระหว่างผู้กำกับ อิตาลี จิวเซปเป้ ทอร์นาโทเร (Cinema Paradiso) กับนักประพันธ์เพลงชาวอิตาลี เอนนิโค่ มอริโคเน่)

ในความ ทรงจำของผม หนังที่น่าประทับใจและน่าร้องไห้ตามที่สุดของเฟลีนี่ คือ Nights of Cabiria เรื่องราวของคาบีเรีย สาวโสเภณีกรุงโรมร่างกระทัดรัดผู้ขมขื่น ผู้พบพานการถูกหลอกลวงจากชายคนรักหลายหน้าหลายตา หลายวาระและโอกาส เธอเองก็ไม่ต่างจากนักฝันสามัญชนไอคิวเม็ดถั่วอย่างพวกเราทั้งหลาย เชื่อคนรักง่าย มองโลกเฉพาะด้านที่อยากมอง และโดนลวงรับประทานหัวใจและทรัพย์สินโดยคนที่เธอไว้ใจที่สุด หนังบอกกับทุกคนว่าถึงแม้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย แต่ทุกรอยแผลเจ็บปวดจะช่วยให้เราจำมันได้ชัดเจนขึ้น เด็กทุกคนอาจจำเป็นต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ขึ้นด้วยการรับประทาน โปรตีนที่เรียกว่าความผิดหวังเสียใจ

จิวเลียตต้า แมสซิน่า (ภรรยาในชีวิตจริงของเฟลีนี่) ผู้รับบทเป็นคาบีเรีย ถือเป็นศูนย์กลางของความบันเทิงและรันทดในเรื่อง เธอเป็นตัวตลก เธอเป็นแม่พระ เธอเป็นนางมาร เธอเป็นคนบาป เธอตีสีหน้าเป็น เธอตีสีหน้าตาย เธอเข้มแข็งต่อชีวิตตัวเองพอๆกับที่คนรอบข้างมองเธอว่าอ่อนแอ นั่นทำให้หนังเรื่องนี้ช่างหวานปนขมเหลือเกิน

คาบีเรีย เป็นตัวละครที่เฟลีนี่เคยให้สัมภาษณ์รู้สึกผูกพันและเป็นห่วงที่สุด อาจเพราะคาบีเรียดูจะเป็นผู้หญิงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้เสียเท่าไร เธอเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนใน พยายามระวังป้องกันตัวเองเหลือเกิน แต่ก็กลับอยากเป็นที่รักที่เข้าถึงได้ของใครสักคน มีฉากหนึ่งที่เธออาสาเป็นหนูทดลองให้กับนักมายากล และโดนสะกดจิตเข้าจริง ภาพลักษณ์ก้าวร้าวแนวชวนทะเลาะกับหนุ่มที่คอยข่มเหงพูดจาเหน็บแนมเธอ ในยามที่เธอรู้สึกตัวดี ช่างต่างจากตัวตนภายในที่แสนเปราะบางช่างฝัน และความบริสุทธิ์ที่ถูกค้นพบนั้นนั้น กลับถูกหัวเราะหยันโดยผู้ชมการแสดงมายากลนั้น ช่างเป็นการตบหน้าเด็กน้อยในตัวเธอจนเสียงดังกึกก้องกรุงโรม

ผู้คน แปลกหน้ามากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของคาบีเรีย ไม่ว่าจะเป็น มิตรแท้ ลูกค้า เพื่อนร่วมวงการ นักบวช หนุ่มใจบุญ ชายใจหยาบ อาจเป็นไปได้ว่าคาบีเรียเหมาะที่วางใจที่เปราะบางของเธอให้อยู่ห่างๆกับ บุคคลรอบข้าง เพราะหญิงช่างฝันเช่นเธอไม่มีภูมิคุ้มกันแยกแยะถูกผิดระหว่างไมตรีหรือคำลวง ทำให้เครื่องมือที่ใช้จัดการกับชีวิตคือ การไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด และการศรัทธาอย่างสนิทใจ และนั่นนำโศกนาฏกรรมมาสู่สิบนาทีสุดท้ายของภาพยนตร์

ฉากจบของ Nights of Cabiria อ้อยอิ่งและตราตรึง หญิงสาวสะบักสะบอมไร้เรี่ยวแรงกำลังประคองหัวใจที่แตกละเอียดเป็นเศษลงมาจาก ยอดเขาแห่งอดีตอันลวงหลอก เธอค้นพบกลุ่มหนุ่มสาวกำลังเต้นรำทำเพลงครื้นเครงไปตามถนน พวกเขายิ้มแย้ม กระเซ้าเย้าแหย่ให้กำลังใจหญิงสาวหน้าอมทุกข์ผู้มีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูง ที่สุดในกรุงโรม (ในขณะนั้น) สิ่งที่หญิงสาวตอบแทนต่อผู้ที่ยิ้มให้เธอ คือ การยิ้มตอบแก่พวกเขา และยิ้มตอบต่อพวกเราผู้ชมภาพยนตร์ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ความรู้สึกของผมเอ่อล้น อาจไม่มีสถานการณ์ในชีวิตจริงที่ใครสักคนให้กำลังใจผมด้วยรอยยิ้มผสมน้ำตา นั่นทำให้ผมรู้สึกตัวได้ว่า ชีวิตนี้ช่างมีค่าเสียจริง

การยิ้มให้แก่ อดีตอันทุกข์โศก ถือเป็นการเฉลิมฉลองต่อการมีชีวิตอยู่ และ Nights of Cabiria คือยังคงเป็นอีกหนึ่งบทแห่งการเฉลิมฉลองต่อจิตวิญญาณของประวัติ ศาสตร์โลกภาพยนตร์


BAXTER VERA BAXTER (MARGUERITE DURAS /1977/FR)ขอบฟ้าปิตาธิปไตย

โดย FILMSICK

หนังสี่ฉากเรื่องนี้เล่าเพียงเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งในปราสาทหรูหรา ฉากแรกเป็นโรงแรมตีนเขา ผู้ชายที่เคาน์เตอร์กับนักข่าวที่เพิ่งเดินเข้ามาเล่าเรื่องนางเวรา แบกซเตอร์หญิงลึกลับทีมาพักที่ปราสาทหรูหราทุกปี  เธอมีสามีรวยๆที่ไม่ได้เอาใจใส่เธอมากนัก พวกเขาเล่าให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง ผู้หญิงอีกคนโผล่มาแล้วบอกว่ามีคนเช่าบ้านนั้นแล้ว  นายหน้าผู้ให้เช้าตามหาหญิงสาวไม่พบ โทรไปก็ไม่มีคนรับ ไม่มีใครติดต่อได้เธออยู่ในบ้านไม่ยอมออกมา ผู้หญิงแปลกหน้าลึกลับที่ทุกคนพูดถึง

ฉากที่สอง คือการปะทะกันของหญิงสาวที่มาใหม่กับ เวรา แบกซเตอร์ในบ้านของเธอ ภาพทะเล สวน ต้นไม้ กรอบหน้าต่าง ถูกแทรกเข้ามาในบทสนทนาของผู้หญิงสองคนคนหนึ่งเป็นเมียเอก และอีกคนเป็นเมียเก็บ สามีของเวรามีเมียเก็บมากมาย หญิงสาวเป็นหนึ่งในนั้น เธอสองคนพูดเรื่องของฌอง สามีร่ำรวยของเวรา พวกเธอต่างบอกกันว่าต่างโกหกเรื่องต่างๆ ที่แน่ๆ เวราก็คบชู้กับใครสักคนและพาเขามาที่นี่ด้วย  คำลวงของความทรมานรักของเธอสองคนดำเนินไปเช่นนั้น

ฉากที่สามเวราโทรไปหาสามีของเธอพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ในที่สุดก็เกรี้ยวกราด แต่เราไม่ได้เห็น ทุกครั้งที่เธอของขึ้นกล้งจะตัดไปหาทะเล ท้องฟ้า สวน กรอบประตู ช่องทางเดินของบ้าน เธอขอให้เขาเลิกกับเธอเสีย และเขารู้ว่าเธอนอกใจ ซึ่งเขาไม่อาจทนได้ ที่ปลายสายอีกด้านเด็กสาวคนหนึ่งถามเอากับกล้องว่าคุณโ?รหาเธอใช่ไหม ใจอยากจะโทรกลับไปแต่ไม่ได้ทำ

ฉากที่สี่ หญิงสาวแปลกหน้าจากโรงแรมตีนเขาเดินทางมาหาเวราที่บ้าน เธอเป็นคัวแทนของชายหนุ่มีทบาร์ที่เรารู้แล้วว่าเป็นชู้รักของเวรา เวราเล่าเรื่องของชู้รัก ของสามีที่เงินมากแต่ไม่ได้ร่ำรวยเลยสักนิด  ชายคนที่เวราแต่งงานด้วยเป็นเพียงนายทึ่มมากรักผู้น่าเบื่อหน่าย ชู้รักของเธออาจหล่อเหลาแต่ก็เป็นแค่แมงดาเกาะผู้หญิงกิน พวกเธอผลัดกันเล่าเรื่องเฉพาะของเวราเอง หญิงแปลกหน้าบอกจะพาเธอไปหานายหน้าเรื่องเช่าบ้าน ไปพบชู้นักที่บาร์ แต่ผู้หญิงสองคนก็พูคุยกันท่ามกลางภาพของทะเล กรอบหน้าต่าง สวน ปราสาทโบราณ ที่ถูกสอดแทรกเข้ามาท่ามแสงซึ่งโพล้เพล้ลงไปเรื่อยๆ

ราวกับตัวละครบางตัวกระโดดออกมาจาก เชื่อนกั้นแปซิฟิก นิยายเก่าของดูราส์เองที่ว่าด้วยหญิงสาว กับหนุ่มพื้นเมืองร่ำรวยที่โง่เขลา และพี่ชายเจ้าอารมณ์ที่เป็นเสมือนชู้รกัทางวิญญาณของเธอ ขณะเดียวกัน การกำกับในช่วงแรกของหนัง การใส่บทสนทนาทาบลงมาต่อภาพแพนชมทัศนียภาพราวกับเสียงสะท้อนของผนัง เพดาน ชวนให้คิดถึงหนังที่มีเสียงกับภาพไปคนละทิศทางอย่าง INDIA SONG ในขณะที่แก่นแกนของเรื่องและความสงบในช่วงท้ายก็ชวนให้คิดถึงความสวยงามแสนหวั่นไหวใน NATHALIE GRANGER ผิดกันก็แต่ว่า NATHALIE พูดถึงความสงบสุข แต่ BAXTER พูดถึงความทุกข์ทรมานของการ ‘เกิดเป็นหญิง’

สิ่งที่น่าสนใจในหนังของดูราส์คือเธอมักถ่ายผู้หญิงผ่านกรอบหน้าต่าง ภาพซ้อนทับของต้นไม้จะทาบทับลงบนใบหน้าตัวละครจนเราเห็นเพียงบางเสี่ยวส่วนซึ่งหวั่นไหวอยู่ในกรอบกระจกที่เร้นเธอไว้ ในทางหนึ่งเราอาจบอกได้ว่าเธอถูกกักในกรงขัง แต่ในอีกทางเหมือนกับดูราส์จะบอกว่า พวกเธออยู่ข้างในแต่คุณจะไม่ได้เห็นเพราะคุณจะทำแต่เพียงมองดูจากข้างนอก เห็นเพียงบางเสี้ยวส่วนและจงใช้จินตนาการเอาเองเถอะ

ตัวละครสตรีของดูราส์นั้นยังคงน่าสนใจอย่างยิ่ง นี่เป็นอีกครั้งที่เราเข้าไปในอาณาเขตของสตรี ถ้า NATHALIE GRANGER คืออาณาเขต ‘บ้าน’ของพวกเธอซึ่งมีผู้ชาย (เซลล์แมน)บังเอิญหลุดเข้าไปทำลายจังหวะแห่งความสงบและความหวั่นไหว ในคราวนี้ พวกผู้ชายกลับถูกกันออกไปจากอาณาจักร๘องเหล่าสตรีจำนวนมากที่ปรากฏบนจอ เพียงแต่การไม่มีอยู่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจากกัน หนักไปกว่านั้นบรรดาผู้ชายกลับคือประเด็นหลัก คือตัวบ้านนั่นเลยทีเดียว

มีผู้ชายเพียงฉากแรกในคาเฟ่ พวกผู้ชายพูดถึงผู้หญิงลึกลับ ชักนำการสนทนาของผู้หญิงอีกสองคน ก่อนที่หนังทั้งหมดจะดำเนินไปในคฤหาสน์ที่ผู้เช่าเป็นผู้ชาย ถ้านั่นยังไม่โดดเด่นพอเรื่องที่พวกเธอพูคุยกัน คือเรื่องของ เมียน้อยเมียหลวง กล่าวให้ถูกต้องคือบรรดาผู้หญิงทั้งสี่ (สามคนในบ้าน อีกคนที่ปลายสาย) ต่างร่วมกันแบ่งปันประสปการณ์ความทุกข์ทรมานของการเป็นเมียหลวง เป็นเมียเก็บ ความกล้ำกลืนฝืนทน ความสำนึกบาปของการคบชู้ พวกเธอเอาเข้าจริงหมกมุ่นและเป็นทุกข์กับอาการบ้าผู้ชายนั่นเอง กรอบทั้งหมดที่เราเห็น บานหน้าต่าง ช่องโถงทางเดิน บันได ผ้าม่าน ซุ้มประตู จึงล้วนเป็น คุกหอคอยของเพศชาย ขอบฟ้าปิตาธิปไตยที่ครอบบรรดาหญิงสาวเหล่านี้เอาไว้  สิ่งเหล่านี้สะท้อนก้องอยู่ตั้งแต่ชื่อหนัง BAXTER  VERA BAXTER นามสกุลแบกซเตอร์ของสามีครอบงำเวรา ทั้งข้างหน้า และข้างหลัง!

อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่หนังถูกแทรกซ้อน หันเหออกจากบ้านหลังนี้ไปสู่ระยิบระยับของทะเล หากทราย ฝูงนอก สวน เงาสะท้อน ความมืด หนังก็ปลดตัวเองออกจากกราครอบครองและควบคุม ภาพเหล่านั้นมักแทรกเข้ามาในขณะที่ตัวละครหลักเกรี้ยวกราด แสดงความอ่อนแอ หรือแสดงความเห็นใจกันและกันออกมา  กล่าวในอีกทาง ในคฤหาสน์ของผู้ชาย ที่แท้โลกของสตรียังคงอยู่ข้างนอกและ อาจจะยิ่งกว่านั้น อยู่ข้างในตัวเธอ อยู่ในฉากที่เธอนอนเปลือยอยู่บนเตียง อาจจะหลังจากร่วมรักกับชู้รักในคฤหาสน์ที่สามีเช่า หรือได้โอกาสอยู่ลำพังแล้วเปิดเปลือยตนเองออก

ที่น่าสนใจมากขึ้นคือการนำเสนอเพศชายในหนังก็ไม่ได้เป็นไปในฐานะผู้ปกครองที่กดขี่ทำลายเพศหญิง หากมาในรูแของความอ่อนแอไม่รู้จักโตต่างหาก ผู้ชายในเรื่องมีบาร์เทนเดอร์ขาเมาท์ ชู้รักนักข่าว(นักพนัน)  และคนสำคัญคือ ฌอง เจ้าของเงิน เจ้าของบ้านเจ้าของชีวิตครอบครัวของเวรา  ซึ่งตลอดทั้งเรื่องไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่เรารู้ได้เลยว่าฌองเป็นคนทึ่มทื่อที่มีเงินเป็นอาวุธในการดึงดูดหญิงสาว อย่างไรก็ดี เขากับเวราก็มีสายสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่พิเศษ ในฉากโทรศัพท์เราจึงเห็ฯฌองแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างหมดเปลือก เมื่อเขารู้ว่าเธอก็คบชู้และอาจจะไปจากเขา มันเป้นสิ่งที่เขาทนรับไม่ได้และแสดงผ่านเสียงและบทสนทนาในโทรศัพท์นั้น

ในคฤหาสน์ของผู้ชายอ่อนแอและผู้หญิงอมทุกข์  สิ่งซึ่งผิดประหลาดย้อนแย้งที่สุดในหนังย่อมคือเพลงประกอบรื่นเริงบันเทิง สุขซึ่งคลอคู่กับหนังไปตลอดเรื่อง  ใครก็บอกได้ว่ามันช่างไม่เข้ากับตัวเรื่องอย่างร้ายกาจหนำซ้ำยังลอยหน้าลอย เสียงแบบนันสตอปตลอดเวลา ดนตรีเพลงเดิมเพลงเดียวเล่นซ้ำไปไม่มีจบ หนำซ้ำตัวละครก็ยังพากันได้ยินเพลงนี้และยังพยักเพยิดแก่กันว่าที่แท้มันคือ เสียงดนตรีซึ่งลอยละล่องมาจากงานปาร์ตี้ในวิลล่าหลังท้ายสุด  เสียงซึ่งคลอคู่อวลกระอายอยู่ในอากาศยามบ่าย ขัดแข้งขัดขากับเรื่องรักทรมานตลอดการเดินทางคู่กันไป เสียงเพลงซึ่งคืออารมณ์อิ่มสุขที่อยู่แสนไดล เราจับต้องได้ เราเชื่อว่ามันมีอยู่ แต่เราไม่อาจไขว่คว้ามัน  ปล่อยให้เพียงล่องลอยอยู่ในมวลอากาศลทิ่มแทงเราอยู่อย่างนั้นด้วยการรับรู้ ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของมัน เพราะเราเป็นเพียงผู้ไขว่คว้ควสามสุขที่ได้ความทรมานเป็นเครื่องประโลมใจทด แทน


LA COMMUNE (BKK,2010) @ THE READING ROOM

THE READING ROOM และ FILMVIRUS ชวนคุณชม PETER WATKINS’ MINI RETROSPECTIVE: LA COMMUNE (BKK, 2010) วัน

เสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2553: 11.00น. LA COMMUNE (345mins) + Talk:

หนัง – การเมือง จากปารีสถึงราชประสงค์ โดย อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ และ อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

ดำเนินรายการโดย ไกรวุฒิ จุลพงศธร และ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2553: 14.00 น. PUNISHMENT PARK (88 mins) …

THE READING ROOM + FILMVIRUS invites you to PETER WATKINS’ MINI RETROSPECTIVE: LA COMMUNE (BKK, 2010)

Sat. 31 July 2010: 11:00AM: LA COMMUNE (345mins) +Talk:

Cinema of Politics :From Paris to Ratchaprasong, panelists: Sirote Klampaiboon and Prinya Thaewanarumitkul,

hosted by Graiwoot Chulpongsathorn and Wiwat Lertwiwatwongsa

Sat. 7 July 2010 : 2:00PM: PUNSIHMENT PARK (88 mins) For more info: 02-635-3674

SYPNOSIS

LA COMMUNE

นี่คือหนังที่แกล้งทำตัวเป็นสารคดี และกระตุกผู้ชมให้เห็นเป็นระยะว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงจำลอง การขัดขืน การต่อสู้ การงัดข้อของมนุษย์กับอำนาจรัฐ แบบจำลองของปี 1871 ซึ่งล่องลอยเหนือกาลเวลาด้วยว่ามันเป็นเพียงโครงคร่าวที่เปิดโอกาสให้ผู้ชม และกระทั่งผู้เล่น (นักแสดง) ได้หยิบจับเอาฉากช่วงประวัติศาสตร์อื่นมาซ้อนทับ จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ แสดงอารมณืไล่เรื่อยไปจนถึงมีส่วนร่วมในการปฏิวัติจำลอง ลิ้มรสทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ด้วยตนเอง

บ้าน(โกดัง)ร้างหนึ่งหลัง และการเปิดรับสมัครนักแสดงจากทางหนังสือพิมพ์  ผู้กำกับ PETER WATKINS เนรมิตบรรยากาศของการปฏิวัติขึ้นมาอีกครั้ง หนังเริ่มต้นเล่าผ่าน ชายหญิงคู่หนึ่งที่ประกาศต่อหน้ากล้องว่าเขาและเธอจะรับบทเป็นนักข่าวโทรทัศน์ช่องคอมมูน ซึ่งถ่ายทอดเหตุการณ์นี้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงการล่มสลาย ซึ่งสำหรับเขาและเธอมันเป็นเรื่องสะเทือนใจอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงบทบาทในเหตุการณ์ที่ทุกคนต่างรู้ตั้งแต่ต้นว่ามันจบลงอย่างโหดเหี้ยมเพียงใดจากนั้นกล้องเริ่มต้นกวาดเก็บไปยังเศษซากที่หลงเหลือในฉากหลังความตายอันเหี้ยมโหดในฉากสุดท้าย การสังหารหมู่พลเมืองปารีส ไม่แยกเด็ก สตรี คนชรา โดยกองทัพร่วมชาติจากแวร์ซายส์ เหตุการณ์ตอกตรึงในประวัติศาสตร์ที่ยากจะลืมเลือนแม้จะถูกทำให้ลืมก็ตาม

http://filmsick.exteen.com/20100730/la-commune-peter-watkins-2000-uk-fr

PUNISHMENT PARK

บ่ายวันที่ 4 พฤษภาคม 1970 เจ้าหน้าที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ตัดสินใจลั่นกระสุนสังหาร 67 นัดเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงซึ่งเป็นนักศึกษา แห่งมหาวิทยาลัย Kent State ขณะทำการประท้วงสงครามเวียตนาม เพื่อรักษาระยะห่าง 60 ฟุต ระหว่าง เจ้าหน้าที่กับผู้ประท้วง นักศึกษา 4 ราย เสียชีวิต 9 รายบาดเจ็บสาหัส บางรายกระสุนโดนส่วนสำคัญ กลายเป็นอัมพาตไปชั่วชีวิต แม้ว่าจะสามารถทราบรายชื่อของผู้ลั่นกระสุนสังหาร หากเจ้าหนาที่เหล่านั้นกลับไม่ได้รับการลงโทษ บางคนบอกว่า นี่คืออุบัติเหตุ บางคนบอกว่า พวกเขาเพียง ป้องกันตนเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นี่คือ เหตุการณ์รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศประชาธิปไตยเช่นอเมิรกา

เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ Peter Watkins ผู้กำกับชาวอังกฤษ สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้น ด้วยทีมงานเพียง8คน และกล้อง 16 มม. 1 ตัว

ตัวหนังนั้นมาในรูปแบบของ สารคดีเทียม- เล่าเรื่อง ในอนาคตอันใกล้ (นับจาก ปี 70 ) เมื่อเหล่าหนุ่มสาวฮิปปี้ ผู้ประท้วงสงคราม นักเรียกร้องเพื่อสิทธิคนผิวสี ขบวนการ black panther นักร้องเพลงโฟลค์ นักเขียน คนหนีทหาร กระทั่งชายที่ไม่ทำอะไรเลย โดน เหล่าปัญญาชนฝ่ายขวาจับตัวไปไต่สวนในข้อหา ต่อต้านอเมริกา- -ไม่รักชาติ- และ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เป็นคนไร้ศีลธรรม และเป็นอันตรายต่อชาติ ทางเลือกของจำเลยมีเพียงสองประการ หนึ่งคือยอมติดคุกตามกฎหมายอาญา เป็นเวลา 7 10 ปี หรือ อีกทางหนึ่งคือยอมถูกส่งตัวไปยัง แดนลงทัณฑ์ – ซึ่ง หมายถึงทะเลทรายสักแห่ง ใช้เวลาที่นั่น 3 วัน 3 คืนโดยปราศจากน้ำและอาหาร มีจุดมุ่งหมายประการเดียวคือการเดินเท้าเป็นระยะทางหลายสิบไมล์ เพื่อไปให้ถึง ธงชาติ-ในเวลาที่กำหนด โดยมีกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี คอยตามประกบ จับกลับไปรับโทษ และหากใครขัดขืน ก็ เก็บ-ได้โดยไม่ต้องปรานี หนังตัดสลับไปมาระหว่าง กลุ่มจำเลยสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มในห้องไต่สวน ตอบโต้ กู่ตะโกน เพื่อปกป้องอิสรภาพแห่งตน และอีกกลุ่มใน แดนลงทัณฑ์ ที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้ายและเจ้าหน้าที่อันไร้ความปรานี

http://filmsick.exteen.com/20060504/punishment-park-1


ฺBKK Experimental Film Fest. ครั้งที่6 : introduction

คัดลอกจาก

http://www.beffbeff.com/

จากกรุสู่ BEFF6

เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใดบ้างที่รอการขุดค้นพบ จากหอภาพยนตร์ในภูมิภาค? ยังมีคลังสะสมสื่อวัตถุภาพและเสียง ที่ไหนอีกบ้างที่ีเก็บสะสมประวัติของภูมิภาคนี้ไว้? เทศกาลภาพยนตร์ทดลองกรุงเทพครั้งที่ 6 ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2554 จะลองพลิกจารีตการจัดโปรแกรมภาพยนตร์แบบเทศกาลทั่วไป หันมาทำหน้าที่เป็นพื้นที่และเวทีให้กับคำถามเหล่านี้แทน โดยสิ่งที่เน้นย้ำในเทศกาลครั้งนี้คือ การจัดโปรแกรมจากภาพเคลื่อนไหวที่ขุดคุ้ยมาจากหอภาพยนตร์​ต่างๆ ที่เด่นชัดทั้งกรอบเนื้อหาประวัติศาสตร์(อันมีบริบทของสากลโลกเป็นธงนำ) และความโดดเด่นทางสุนทรียะของงานที่เลือกสรรค์มาแสดง BEFF6 เสนอตัวเป็นเวทีถกเถียงด้วยมุมมองแหลมคม ว่าด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์​ สังคม และศิลปะ ของบรรดาภาพเคลืิ่อนไหว ‘นิรนาม’ ทั้งหลายที่เก็บซ่อนสะสมไว้ในกรุต่างๆ

The remains of Queens Cinema in Wang Burapha, Bangkok’s cinemagoing heartland during the Cold War.

ทีมภัณฑารักษ์ของเราจะออกสืบค้น ฟุตเทจเก่าๆ และหนังบ้านที่มีอะไรบางอย่างในกรอบภาพสามารถจุดประกายให้ผู้ชตระหนักในสิ่ง ที่ไม่เคยคิด หรือกระตุ้นต่อมความทรงจำที่นึกว่าเลือนหายไปแล้วได้ ทีมภัณฑารักษ์ของ BEFF6 ประกอบด้วย  เดวิด เทย์,  อาดาดล อิงคะวณิช, ชลิดา เอื้อบำรุงจิต, จอร์ช คลาค, ริชาร์ด แมคโดนอล์ล และบริจิจต์ ปาโลวิตซ์ แต่ละคนจะไปสืบค้นหอภาพยนตร์ในประเทศไทย อินโดนีเซีย ลาว เวียดนาม จีน ฮ่องกง สหราชอาณาจักร และ ฮอนแลนด์ นำมาจัดโปรแกรมโดยเน้นการผลักดันให้ผู้ชมเกิดมุมมองใหม่ๆ ในการมองประวัติศาสตร์ ทั้งประวัติ ศาสตร์สังคม การเมือง รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของสื่อมีอายุอันมีนามว่าภาพยนตร์นี้ ผ่านรายละเอียดเล็กยิบย่อยจากภาพสู่ภาพ ซึ่งดูเผินๆ อาจเข้าใจผิดไปว่า’ ไม่เป็นสารัตถะ’ เราจะทดลองใช้คลิปภาพยนตร์ชิ้นเดียวกันแต่จะถูกจัดให้อยู่ในโปรแกรมที่ต่าง กันไป ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการคัดสรรและเรียบเรียงโปรแกรม ในความพยายามที่จะเชื่อมโยงสาธารณะชนกับสื่อวัตถุสะสมเหล่านี้

BEFF6 จัดโดย โปรเจค 304 และได้รับการสนับสนุนจาก มูลนิธิเอเชีย-ยุโรป หอภาพยนตร์ มูลนิธิหนังไทย และ วารสารอ่าน ผู้ก่อตั้งและอำนวยการเทศกาลภาพยนตร์ทดลองกรุงเทพได้แก่ กฤติยา กาวีวงศ์ กับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล


กลแสงแห่งปี 2009 : A TRICK OF THE LIGHT TOP OF THE YEAR 2009 LIST ภาค3

กลแสงแห่งปี ภาค 1 I ภาค 2

TOP 10 หนัง โดนประจำปี 2009

โดย . . . ‘กัลปพฤกษ์’ kalapapruek@hotmail.com

ล่วงเข้าปีใหม่ทีไรก็ได้เวลาสำหรับการปฏิบัติภารกิจรวบรวมสิบอันดับหนัง ‘โดน’ ประจำปีที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปว่ามีเรื่องไหนเป็นที่ติดใจควรค่าแก่การกล่าวขวัญถึงบ้าง สำหรับอันดับหนังประจำปี 2009 นี้ผู้เขียนก็ขอจัดให้สองรายการด้วยกัน ทั้งสิบอันดับหนัง ‘โดนอกโดนใจ’ และสิบอันดับหนัง ‘โดนทำร้าย’ โดยมีกติกาง่าย ๆ ว่าเป็นหนังใหม่ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ดูในช่วงปี ค.ศ. 2009 ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนพำนักอยู่ต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในปีนี้จะไม่มีการจำกัดเฉพาะหนังที่เคยมีโอกาสสัมผัสกับผืนจอในประเทศไทยเช่นเดียวกับปีที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งก็หวังว่าอานิสงส์ของการเป็นโลกไร้พรมแดนแห่งยุคโลภาภิวัฒน์คงจะทำให้หนังต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเหล่านี้ จะมิต้องตกอยู่ในสภาพ ‘หาดูไม่ได้’ อีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว

เนื่องจากหนังบางเรื่องอาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมีโอกาสลงโรงฉายให้ได้ดูกัน เพราะฉะนั้นคำว่า ‘หนังใหม่’ นั้นผู้เขียนจะขอย้อนขอบเขตให้เป็นหนังที่ออกฉายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 เป็นต้นมา ว่าแล้วก็ขอเชิญท่านทั้งหลายติดตามกันได้ว่ามีหนังเรื่องไหน ‘โดน’ อก ‘โดน’ ใจผู้เขียนในแง่ใดกันบ้าง

TOP 10 CINEMAPE GINGER OF THE YEAR 2009

สิบอันดับหนัง สุเทพเมพขิงประจำปี 2009

โดย . . . ‘กัลปพฤกษ์’

โดย . . . ‘กัลปพฤกษ์’ kalapapruek@hotmail.com

ล่วงเข้าปีใหม่ทีไรก็ได้เวลาสำหรับการปฏิบัติภารกิจรวบรวมสิบอันดับหนัง ‘โดน’ ประจำปีที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปว่ามีเรื่องไหนเป็นที่ติดใจควรค่าแก่การกล่าวขวัญถึงบ้าง สำหรับอันดับหนังประจำปี 2009 นี้ผู้เขียนก็ขอจัดให้สองรายการด้วยกัน ทั้งสิบอันดับหนัง ‘โดนอกโดนใจ’ และสิบอันดับหนัง ‘โดนทำร้าย’ โดยมีกติกาง่าย ๆ ว่าเป็นหนังใหม่ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ดูในช่วงปี ค.ศ. 2009 ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนพำนักอยู่ต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในปีนี้จะไม่มีการจำกัดเฉพาะหนังที่เคยมีโอกาสสัมผัสกับผืนจอในประเทศไทยเช่นเดียวกับปีที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งก็หวังว่าอานิสงส์ของการเป็นโลกไร้พรมแดนแห่งยุคโลกาภิวัฒน์คงจะทำให้หนังต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเหล่านี้ จะมิต้องตกอยู่ในสภาพ ‘หาดูไม่ได้’ อีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว

เนื่องจากหนังบางเรื่องอาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมีโอกาสลงโรงฉายให้ได้ดูกัน เพราะฉะนั้นคำว่า ‘หนังใหม่’ นั้นผู้เขียนจะขอย้อนขอบเขตให้เป็นหนังที่ออกฉายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 เป็นต้นมา ว่าแล้วก็ขอเชิญท่านทั้งหลายติดตามกันได้ว่ามีหนังเรื่องไหน ‘โดน’ อก ‘โดน’ ใจผู้เขียนในแง่ใดกันบ้าง

TOP 10 CINEMAPE GINGER OF THE YEAR 2009

สิบอันดับหนัง สุเทพเมพขิงประจำปี 2009

โดย . . . ‘กัลปพฤกษ์’

สำหรับอันดับหนัง ‘สุเทพเมพขิง’ ประจำปี 2009 นี้ ก็จะขอรวบรวมหนังชั้น ‘เทพ’ ที่โดดเด่นโดนใจผู้เขียนในด้านต่าง ๆ จนอดไม่ได้ที่จะขอมอบรางวัลส่วนตัวให้ในหมวดหมู่สาขาดังต่อไปนี้

  1. 1. ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี: INVOLUNTARY กำกับโดย Ruben Ostlund

ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 2009 ของผู้เขียนจะเป็นหนังเล็ก ๆ ที่เคยร่วมฉายในสาย Un Certain Regard ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ประจำปี 2008 ที่แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึง ผลงานขนาดยาวเรื่องที่สองของผู้กำกับจากสวีเดน Ruben Ostlund ผู้มีฝีไม้ลายมือเป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง แม้จะถูกจัดอยู่ในสายรองกลุ่ม Un Certain Regard แต่หนังเรื่องนี้กลับมีอะไรหลาย ๆ อย่างละม้ายคล้ายคลึงกับหนังในสายประกวดหลายเรื่องของปีนั้น หนังแบ่งเนื้อหาออกเป็นห้าเส้นเรื่องแบบเดียวกับ Gomorrah หนังมีฉากเกี่ยวกับการเรียนการสอนและการปกครองระหว่างครูนักเรียนแบบเดียวกับ The Class หนังมีฉากการชุมนุมสังสรรค์ของบรรดาญาติมิตรแบบเดียวกับ A Christmas Tale หนังมีเรื่องราวแบบส่วนตั๊วส่วนตัวของดาราดังแบบเดียวกับ Frontier of the Dawn หนังมีฉาก oral sex คล้ายกับใน Serbis หนำซ้ำยังมีการจัดภาพในระยะอึดอัดตัดหัวตัดตัวนักแสดงไม่ผิดไปจาก The Headless Woman เลยทีเดียว! หนังใช้เรื่องราวย่อย ๆ ห้าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาถ่ายทอดปฏิกิริยาของมนุษย์ในภาวะที่อาจนำไปสู่ความรู้สึก ‘เสียหน้า’ ซึ่งก็มีทั้งกรณีชายชราที่ประสบอุบัติเหตุจากพลุไฟระหว่างงานเลี้ยงสังสรรค์แต่ดันไม่ยอมไปพบแพทย์ ดาราสาวใหญ่ที่ต้องรักษาภาพพจน์ด้วยการเก็บงำความลับบางอย่างไว้จนทำให้ใคร ๆ คนอื่นต้องเดือดร้อน ครูสาวจิตป่วยที่ต้องมีเรื่องบาดหมางกับเพื่อนครูเพราะความเจ้าหลักการมากเกินไป เด็กสาวใจแตกที่แรดเสียจนหลุดขอบเขต ไปจนถึงกลุ่มเพื่อนหนุ่มมาดแมนที่การละเล่นสุดคะนองของพวกเขาคือการจับถอดกางเกงแล้วดูดจู๋ หรือดื่มเหล้าเมาแล้วแก้ผ้าตีลังกาให้เพื่อนเอาธงจิ้มตูด! หนังโดดเด่นด้วยการจัดองค์ประกอบภาพที่สุดแสนจะแปลกหูแปลกตาโดยไม่สนใจเลยว่าผู้ชมจะเห็นหน้าเห็นตาตัวละครสำคัญในฉากนั้น ๆ หรือไม่ แต่สิ่งที่ชวนให้ทึ่งได้มากที่สุดเลยก็คือการแสดงขั้น ‘เทพ’ ของนักแสดงทุก ๆ รายที่สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์น่าอับอายในชีวิตประจำวันใกล้ตัวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและอาจจะสมจริงได้ยิ่งกว่างานสารคดีเสียด้วยซ้ำ ฉากเด็ด ๆ อย่างตอนที่นังเด็กสก๊อยส์เกิร์ลนั่งหน้าหงอคอตกโดนแม่ด่านั้น ต้องบอกกันตามตรงเลยว่าเป็นบรรยากาศที่ผู้เขียนเองไม่เคยพบเคยเห็นจากหนังเรื่องอื่นไหน แต่ที่ต้องยกให้เป็นฉากเด็ดแห่งปีที่ดูแล้วอึ้งได้มากที่สุดก็คือฉากกินหนอนใน apple ซึ่งต้องขอเปิดหมวกคารวะนักแสดงที่มารับบทบาทเป็นคุณครูสาว ที่สามารถถ่ายทอดสภาวะอารมณ์อันชวนอึดอัดใจออกมาได้อย่างน่าขนลุกสุด ๆ! ด้วยความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ Involuntary เป็นหนังทดลองที่ได้ทั้งความแพรวพราวในเชิงเทคนิคและการดิ่งลึกเข้าไปศึกษาพฤติกรรมหลงอัตตาของมนุษย์ที่ทำออกมาได้ ‘สุด’ ในทุก ๆ ด้านจริง ๆ

ฉากกินหนอนใน apple จาก Involuntary (2008)

ฉากสุดเทพเมพขิงประจำปี 2009 ของผู้เขียน

  1. 2. ผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปี : VINCERE กำกับโดย Marco Bellocchio

สำหรับเรื่องนี้ก็มีโอกาสได้ฉายใน Bangkok International Film Festival กันไปแล้ว คิดว่าหลาย ๆ คนคงจะได้ดูกัน จริง ๆ ผู้เขียนก็ติดตามผลงานของผู้กำกับ Marco Bellocchio มามากมายหลายเรื่อง แต่ก็ยังไม่ถึงกับถูกอกถูกใจอะไร ด้วยความที่สไตล์การกำกับส่วนใหญ่ของเขาจะออกแนวเก่า ๆ เชย ๆ มุ่งเน้นความประณีตละเมียดละไมจนไม่ถึงใจ ‘วัยสะรุ่น’ อย่างผู้เขียน (ภาษาวัยรุ่นยุคไหนกันละเนี่ย?) แต่พอได้ดู Vincere เรื่องนี้ก็มีอันต้องร้อง   ‘ว้าว!’ ออกมาทันที เพราะบทที่พี่แกคิดจะทำหนังออกแนวโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวจ๊าบขึ้นมาก็สามารถทำให้ผลงานของ      ผู้กำกับร่วมชาติรุ่นหลานอย่าง Paolo Sorrentino ต้องกลายเป็นหนังโฆษณาแอ๊บแบ๊วไปได้ในทันที สิ่งที่น่ายกย่องมากที่สุดใน Vincere คือการประสานเอาลีลาการกำกับในแบบฉบับคลาสสิกมาหลอมรวมกับเทคนิคลีลาในแบบร่วมสมัยได้อย่างกลมกลืนโดยใช้ความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะและดนตรีกลุ่ม Futurism มาเป็นสไตล์หลัก เมื่อความหนักแน่นเข้มข้นของการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างงานระดับบรมครูรุ่นเก่าได้รับการแต่งองค์ทรงเครื่องกันด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อันทันสมัย เรื่องราวเก่า ๆ เชย ๆ อย่างประวัติชีวิตสุดรันทดของเมียลืมของ Benito Mussolini จึงสามารถกลายเป็นหนังที่สุดกิ๊บเก๋ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดู Vincere แล้วก็ชวนให้รู้สึกสะท้อนใจว่าจะมี ผู้กำกับรุ่นหลังรายไหนทำหนังได้แน่นและเนี้ยบเทียบเท่ากับผู้กำกับรุ่น Marco Bellocchio กันอีกไหม เพราะผลงานชิ้นนี้ดูจะสามารถใช้เป็นเครื่องฟ้องได้อย่างดีว่า การทำหนังให้ดูเฉี่ยวเท่ทันสมัยนั้น จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นประการใด แต่ความลุ่มลึกคมคายในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างหากที่เป็นทักษะอมตะชนิดไม่ว่าจะเป็นคนทำหนังรุ่นไหนก็จำเป็นจะต้องฝึกฝนไว้เพราะมันจะเป็นสิ่งจีรัง การจับหัวใจคนดูให้รู้สึก climax ได้ถึงห้าครั้งในหนังเรื่องเดียวอย่าง Vincere เรื่องนี้ คงจะเป็นหลักฐานพิสูจน์ข้อความข้างต้นได้เป็นอย่างดี

  1. 3. ภาพยนตร์ประดับเหรียญกล้าหาญแห่งปี : ENTER THE VOID กำกับโดย Gaspar Noe

สำหรับวงการศิลปะแล้ว การมุ่งหน้าแสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการเล่าเรื่องราวและการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกภายในนับเป็นกิจกรรมสำคัญที่จะเป็นสิ่งชี้เป็นชี้ตายอนาคตของมันได้อย่างชัดเจนที่สุด นักทำหนังที่ไม่เคยจำนนต่อกรอบเกณฑ์อะไรใด ๆ ที่คนรุ่นก่อน ๆ ได้วางเอาไว้ จึงควรค่าที่จะได้รับการยกย่องไม่แพ้ผู้กำกับที่มุ่งสร้างความประทับใจด้วยฝีไม้ลายมือ สำหรับรางวัลภาพยนตร์ประดับเหรียญกล้าหาญประจำปีนี้ผู้เขียนก็มอบให้กับผู้กำกับ Gaspar Noe กับผลงานเรื่อง Enter the Void มหากาพย์ head trip หลงสมัยที่ทำออกมาได้อย่างไม่นึกเกรงกลัวอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น หนังถ่ายด้วยมุมมอง point-of-view ทั้งก่อนและหลังความตายของไอ้หนุ่มนักค้ายาชาวตะวันตกที่ไปอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียวกับปฏิบัติการปกป้องน้องสาวแท้ ๆ ของเขาที่ทำงานเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าตามคำมั่นสัญญา ตลอดความยาวเกือบสองชั่วโมงครึ่งเราจะได้ติดตามจิตวิญญาณของชายหนุ่มรายนี้ไปสัมผัสกับซอกหลืบอันสลัวรางด้วยแสงไฟนีออนของกรุงโตเกียวอย่างไม่หยุดหย่อน สลับกับการนึกย้อนไปถึงเรื่องราวความเป็นมาในอดีต หนังชวนตะลึงไปด้วยเทคนิคการถ่ายทำและตัดต่อที่ลื่นไหลผ่านตึกกำแพงอะไรต่าง ๆ ราวกับเป็นการติดตามดวงวิญญาณกันจริง ๆ ใครที่ยังไม่คุ้นกับการนั่งดูหนังที่ผู้กำกับใช้เครนเหวี่ยงกล้องไปมาราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ก็ขอให้หาเรื่อง Irreversible (2002) ของผู้กำกับรายเดียวกันนี้มานั่งฝึกซ้อมสายตากันเสียก่อน แต่จุดที่น่าประทับใจจริง ๆ ในผลงานชิ้นนี้ก็คือ ต่อให้ลีลาการถ่ายทอดของหนังจะสุดแสนแพรวพราวขนาดไหน ผู้กำกับก็ไม่เคยละทิ้งที่จะใส่ใจมิติด้านอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครเลย เมื่อเทคนิคก็แน่น ตัวละครก็ถึง ผลงานชิ้นนี้จึงนับเป็นความตื่นเต้นแปลกใหม่ที่น่าสนใจมากที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว

  1. 4. บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี : ABOUT ELLY กำกับและเขียนบทโดย Asghar Farhadi

ต้องบอกกันตามตรงเลยว่าช่วง 30 นาทีแรกของหนังเรื่องนี้มันทำให้ผู้เขียนรู้สึกยี้แหวะได้อย่างสุดแสนคลื่นไส้   กับภาพความสนุกสนานสำราญอารมณ์ของการเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนริมทะเลของครอบครัวใหญ่ที่ตัวละครทุกรายต่างแสดงความ happy สุขีสโมสรออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก แต่ทันทีที่เรื่องราวพลิกผันหลังตัวละคร Elly หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ หนังก็หักเปลี่ยนโทนเรื่องไปในทันใด จากหนังครอบครัวที่ออกแนวปัญญาอ่อน ก็กลับกลายมาเป็นงาน suspense thriller ที่น่าตื่นเต้นระทึกใจได้มากที่สุดแห่งปี หนังเหมือนจะหยิบยืมกลิ่นอายจากทั้งนิยายสืบสวนสอบสวนในแบบฉบับของ Agatha Christie และผลงานอมตะอย่าง L’avventura ของ Michelangelo Antonioni แต่สุดท้ายก็คลี่คลายเรื่องราวออกมาในแบบฉบับหนังอิหร่านตัวจริงเสียงจริง ซึ่งก็คงมีแต่คนทำหนังชาตินี้เท่านั้นแหละที่จะเล่าเรื่องราวอะไรแบบนี้ออกมาได้ ไม่ขอเล่าอะไรให้เผยความไปมากกว่านี้ก็แล้วกันเผื่อหลาย ๆ คนที่ยังไม่ได้ดูอาจเสียอรรถรส เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้มี surprise ที่ไม่สามารถตัดสินอะไรได้จากเพียงช่วงค่อนแรกของหนังเลยจริง ๆ

  1. 5. ผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี : VERSAILLES กำกับโดย Pierre Schoeller

หนังเรื่องนี้เหมือนจะถูกตีตราว่าเป็นหนังเกี่ยวกับคนจรจัดที่อาศัยอยู่ในเขตนอกรั้วของพระราชวัง Versailles แต่เอาเข้าจริงแล้วผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ Pierre Schoeller ชิ้นนี้กลับมุ่งปอกเปลือกความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และปัจจัยในการดำเนินชีวิตเสียมากกว่า ด้วยการติดตามชีวิตของเด็กชายที่อาศัยอยู่ข้างถนนกับมารดาที่สามารถกินอะไรก็ได้ที่จะพอยาไส้และสามารถล้มตัวลงนอน ณ ตรงไหนก็ได้ที่มีพื้นที่เพียงพอให้เหยียดกายในฉากแรก ๆ จนเขาเติบโตมาเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นเอาแต่ใจเลือกกินเฉพาะอาหารที่เขาถูกใจและมีห้องนอนส่วนตัวที่เต็มไปด้วยสิ่งของตกแต่งไร้ความจำเป็นในฉากท้าย ๆ การผจญภัยของเด็กเหลือขอที่เหมือนจะไม่มีใครสนใจ แต่สุดท้ายเขากลับมีผู้ใส่ใจให้ความดูแลถึงสี่รายใน Versailles เรื่องนี้ จึงเป็นเหมือนการเสียดเย้ยการใช้ชีวิตที่มักจะเกินล้นไปจากความต้องการพื้นฐานจริง ๆ ของมนุษย์เราในยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างเจ็บแสบ ผู้กำกับ Pierre Schoeller ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ราวกับไม่ได้ทำเป็นเรื่องแรก เพราะเขาดูจะเข้าอกเข้าใจมนุษย์ในทุก ๆ สถานะและเพศวัยอีกทั้งยังนำเสนอออกมาได้อย่างลุ่มลึกราวกับคลุกคลีอยู่ในวงการนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยไม่มีเค้าแววของความเป็นมือใหม่ให้เห็นเลย ผู้เขียนจึงต้องขอยกตำแหน่งผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปีให้ไปโดยไม่มีอะไรต้องลังเล หนังเรื่องนี้ได้ร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่กรุงเทพฯ เมื่อกลางปีที่แล้ว

  1. 6. สารคดียอดเยี่ยมแห่งปี : DEAR ZACHARY: A LETTER TO A SON ABOUT HIS FATHER กำกับโดย Kurt Kuenne

ทั้งอึ้ง ทั้งซึ้ง ทั้งตะลึงแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียวสำหรับสุดยอดสารคดีชวนปวดหัวใจเรื่องนี้ จากบทลำนำแสดงความรำลึกอาลัยต่อ Dr Andrew Bagby คุณหมอหนุ่มใหญ่ที่เพิ่งจะเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม ซึ่งผู้กำกับ Kurt Kuenne ตั้งใจจะบันทึกไว้เป็นหนังสารคดีเพื่อให้ทายาทตัวน้อย ๆ ของคุณหมอ Andrew ผู้ต้องกำพร้าพ่อไปตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาอดีตแฟนสาวของคุณหมอได้มีโอกาสรู้จักกับบิดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง  footage ต่าง ๆ ของ Dr Andrew Bagby ที่ผู้กำกับ Kurt Kuenne เคยบันทึกไว้ไม่ว่าจะเป็นบรรดาหนังสั้นทำมือที่คุณหมอ      เคยร่วมแสดงในวัยละอ่อน หรือวิดีโอบันทึกงานแต่งงานจึงถูกนำมาร้อยเรียงเป็นพงศาวดารชีวิตของชายหนุ่ม        ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยอัธยาศัยไมตรีที่ไม่น่าจะต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรเลย แต่มีหรือที่เรื่องราวชีวิตในโลกของความเป็นจริงมันจะดำเนินไปดั่งที่เราตั้งใจ เมื่อฟ้าดินช่างแสนโหดร้ายพลิกเหตุการณ์ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง    ในสารคดีเรื่องนี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ทดสอบกำลังใจครั้งยิ่งใหญ่อันสุดแสนสะเทือนใจในระดับใจหายใจคว่ำ! โดยปกติแล้วผู้เขียนมักจะไม่มีความอดทนกับเทคนิคลีลาการนำเสนออันโฉ่งฉ่างวุ่นวายตัดไปตัดมาด้วยอัตราเร็วราวสายฟ้าแสบด้วยเหตุผลเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ในสารคดีเรื่องนี้ผู้เขียนกลับรู้สึกยินดีให้อภัยโดย     ไม่ถือสา ก็ในเมื่อมันเป็นสารคดีที่ตั้งใจทำให้เด็กที่เพิ่งรู้ความดูผู้กำกับก็ต้องสรรหาอะไร ๆ มาดึงดูดใจบ้างก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพลังอารมณ์อันเปี่ยมล้นของตัวหนังก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะกลบลบข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในส่วนของการนำเสนอเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าลึก ๆ แล้วจะอดคิดไม่ได้ว่าหนังไม่ได้มองประเด็นอย่างเป็นกลางและออกจะเข้าข้างฝ่ายครอบครัว Bagby กันอย่างชัดเจน แต่ก็นั่นแหละนะ หากจะมีใครโดนทำร้ายทารุณทางจิตใจได้อย่างหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้แล้ว การจะมานั่งฝักใฝ่อยู่ในทางสายกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดมันก็คงจะไร้หัวใจกันเกินไปสักหน่อย เพราะไม่ว่าใครจะผิดจะถูกอย่างไรครอบครัว Bagby ก็ไม่ควรที่จะต้องมาพบมาเจอกับวิบากกรรมที่หนักหน่วงอะไรเช่นนี้เลย จึงต้องขอยกให้ Dear Zachary: A Letter to a Son About His Father เป็นสุดยอดสารคดีแห่งปีที่อยากจะให้คุณผู้อ่านทั้งหลายมีโอกาสได้หามาชมด้วยตนเองโดยทั่วกัน!

  1. 7. นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมแห่งปี : CHRISTOPHE MINIE จากเรื่อง JOHNNY MAD DOG กำกับโดย Jean-Stephane Sauvaire

ก่อนอื่นขอให้ทุกท่านคลิกเข้าไปชม poster หนังกันที่

http://www.allocine.fr/film/fichefilm-111823/affiches/detail/?cmediafile=19001642

แล้วโปรดจำหน้าไอ้หมอนี่ไว้ หากคุณผู้อ่านไปพบเจอมันที่ไหนก็ฝากบอกมันด้วยว่าอย่าให้ ‘กัลปพฤกษ์’ ได้เจอหน้าโดยเด็ดขาด เพราะข้าพเจ้านี่แหละจะยินดีสละชีวิตวิ่งเข้าไปกระโดดเตะก้านคอมันให้ล้มทั้งยืนโดยไม่เกรงกลัวกระสุนจากปืนที่มันถืออยู่ในมือเลย ความกักขฬะเลวระยำของไอ้ Johnny Mad Dog รายนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้เขียนต้องเกิดอาการ ‘ของขึ้น’ หมั่นไส้ไปกับพฤติกรรมสุดอันธพาลของมันอย่างสุดจี๊ด คงคิดละสิว่าพลังอำนาจของกระบอกปืนจะทำให้มันสามารถแสดงอาการกำแหงแกร่งกร่างกับใคร ๆ ให้ก้มหัวยินยอมไปทั้งหมดได้ ฝันไปเถอะ! ‘กัลปพฤกษ์’ คนนึงหละที่ไม่ขอกลัวตาย ถึงชีวิตต้องวอดวายก็ขอได้ตะบันหน้าหมา ๆ ของมันสักครั้ง แล้วขอเอาถ้วยรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมแห่งปียัดใส่ปากมันโทษฐานที่ทำให้ฉันต้อง in จนรู้สึกอยากจะฆ่าตัวละครขึ้นมาจริง ๆ!

  1. 8. นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี : KSENIYA RAPPOPORT จากเรื่อง THE DOUBLE HOUR กำกับโดย Guiseppe Capotondi

จริง ๆ เธอก็คว้ารางวัลเดียวกันนี้จากเวที VENICE FILM FESTIVAL กันไปแล้ว แต่ผู้เขียนก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะขอมอบรางวัลส่วนตัวให้เธออีกสักหนึ่งรางวัล กับการแสดงอันสุดแสนจะละเอียดลุ่มลึกที่สะท้อนความเร้นลับที่ไม่อาจไว้วางใจของอิสตรี ผู้เขียนชอบเหลือเกินกับหนังที่ตีแผ่พฤติกรรมสุดประหลาดล้ำในระดับคาดเดาอะไรไม่ได้ของบรรดาสาว ๆ ไม่ว่าจะเป็น Post-coitum, animal triste (1997) ของ Brigitte Rouan / Claire Dolan (1998) ของ Lodge Kerrigan / The Dreamlife of Angels (1998) ของ Eric Zonka / A vendre (1998) ของ Laetitia Masson / Rosetta (1999) ของ Jean-Pierre & Luc Dardenne / La repetition (2001) ของ Catherine Corsini / Lovely Rita (2001) ของ Jessica Hausner / A tout de suite (2004) ของ Benoit Jacquot และ A Tale in the Darkness (2009) ของ Nikolay Khomeriki กระทั่งล่าสุดก็เห็นจะมี The Double Hour ของ Guiseppe Capotondi นี่แหละที่ถ่ายทอดอารมณ์อันเร้นลับของผู้หญิงได้ดิ่งลึกมากอีกเรื่องหนึ่ง ในเรื่องนี้ Kseniya Rappoport รับบทเป็นสาวเสิร์ฟที่มีโอกาสได้สนิทสนมกับอดีตนายตำรวจที่ต้องกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่งจากกิจกรรมการหาคู่แบบ speed date แต่หญิงสาวและชายหนุ่มคู่นี้ดูจะไม่ได้เป็นปุถุชนคนทำมาหากินธรรมดา ๆ เพราะทั้งคู่ต่างมีอดีตเป็นชนักปักหลังที่ไม่อาจจะฝังลืมไปได้ง่าย ๆ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอดีตเหล่านั้นมันคือสิ่งที่พวกเขาอยากลืมจริง ๆ? แม้โดยตัวบทหนังแล้วจะไม่ได้มีการสาดใส่อารมณ์อะไรกันมากมาย แต่ Kseniya Rappoport กลับสามารถใช้การแสดงออกทางสีหน้าและแววตามาถ่ายทอดความคิดอ่านในช่วงเวลาต่าง ๆ ของตัวละครรายนี้ได้อย่างน่าทึ่งยิ่ง ที่วิเศษที่สุดก็เห็นจะเป็นฉากสุดท้ายที่เธอสามารถสื่ออารมณ์ผ่านใบหน้าออกมาได้อย่างน่าฉงน จนคนดูเดากันไม่ถูกเลยว่าเธอกำลังคิดอ่านอะไรกันแน่ภายใต้สายตาอันแฝงไว้ด้วยปริศนาคู่นั้น . . .

  1. 9. รางวัลนักร้องเจ้าบทบาท : RAN DANKER จากเรื่อง EYES WIDE OPEN กำกับโดย Haim Tabakman

เป็นที่น่าสังเกตว่าหนังที่ออกฉายในช่วงปี 2009 นี้มีหลายเรื่องเลยทีเดียวที่มีการใช้นักร้องดังมาร่วมรับบทบาท เด่น ๆ หากไม่นับ No One Knows About Persian Cat ของ Bahman Ghobadi ที่มีการให้กลุ่มนักร้อง underground ในอิหร่านมารับบทบาทเป็นตัวเองแล้ว ก็ยังมีเรื่อง ‘นางไม้’ ของ เป็นเอก รัตนเรือง ที่มี กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์ จากวง Girly Berry เป็นนางเอก เรื่อง Vengeance ของ Johnny To ก็นำแสดงโดย Johnny Hallyday ส่วนเรื่อง Precious: Based on the Novel Push by Sapphire ของ Lee Daniels ก็มีทั้ง Mariah Carey และ Lenny Kravitz มาร่วมเล่น ด้าน The Imaginarium of Doctor Parnassus ก็ยังมี Tom Waits มาร่วมสมทบ เรื่อง Eyes Wide Open ก็ได้ rocker หนุ่มมาดเซอร์ Ran Danker มาเล่นนำ แถมยังมีเรื่อง The Silent Army ของ Jean van der Velde ที่ได้นักร้องหนุ่มใหญ่ Marco Borsato มาเปิดซิงด้านการแสดงเป็นครั้งแรกอีกด้วย          ปีนี้ผู้เขียนเลยเกิดนึกสนุกอยากลองจับเอาบรรดานักร้องเจ้าบทบาทเหล่านี้มาลองประชันฝีมือไม้ลายมือด้าน     การแสดง ดูสักทีว่านักร้องรายไหนหนอจะมีแววรุ่งในวงการนี้ได้ดีที่สุด

และผลการตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ (เพราะตัดสินเอาเองคนเดียว) ก็สรุปออกมาว่า ตำแหน่งนักร้องเจ้าบทบาทประจำปี 2009 นี้ ก็ได้แก่ rocker หนุ่ม Ran Danker จากเรื่อง Eyes Wide Open นั่นเอง . . . อย่า! อย่า! อย่า! อย่า! ไม่ต้องไปเที่ยวป่าวประกาศกับใครต่อใครเลยนะพ่อ Ran Danker ว่าตัวเองเป็นชายแท้ 100% เพราะคงไม่มีผู้ชายประเทศไหนจะสามารถมารับบทบาทเป็นเกย์หนุ่มชาวยิวในอิสราเอลที่หาญกล้าท้าทายข้อห้ามทางศาสนาแสดงอารมณ์สิเน่หารักใคร่กับหนุ่มใหญ่ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วได้อย่างถึงพริกถึงขิงสมจริงแบบไม่อิงเทคนิคการแสดงเยี่ยงนี้ ก็ลองดูสายตาโหยหารสสัมผัสจากผู้ชายด้วยกันที่หนุ่มเซอร์รายนี้ถ่ายทอดออกมาบ้างสิ ว่าถ้าได้ลองประสานสบดูแล้วมันจะชวนให้ขนลุกซู่ได้ขนาดไหน ไม่น่าแปลกใจที่หนุ่มใหญ่ผู้เคยเคร่งครัดอยู่ในกรอบของศาสนาอย่างคู่ขาของเขาต้องเกิดอาการตบะแตกลืมลูกลืมเมียไปได้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ถึงขนาดหาญกล้าที่จะปะทะคารมกับผู้นำทางศาสนาที่ขู่ว่าจะถูกคว่ำบาตรหากเขาไม่ละเลิกพฤติกรรมอันชั่วช้านั้นเสียด้วยประโยคเด็ดที่ว่า “ที่ผ่านมาผมเหมือนคนตายทั้งเป็น แต่วันนี้ผมกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง . . . เพราะเขา” โอว! ได้ฟังแล้วต้องอึ้งกันไปตาม ๆ กัน  แรงเสียดทานอันมากมายมหาศาลที่สองหนุ่มยิวในชุมชนเคร่งศาสนาแห่งนี้จะต้องเผชิญนั้น มันอาจจะทำให้ ก้อง-พี ของพี่ไทย ต้องกลายเป็นคู่เกย์เบบี๋ไปเลยทีเดียว

  1. 10. รางวัลผ้าเช็ดหน้าขลิบทอง : LONDON RIVER กำกับโดย Rachid Bouchareb

พูดไปจะมีใครเชื่อมั้ยเนี่ย ว่า ‘กัลปพฤกษ์’ เป็นคนที่แพ้ทางหนังที่แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ โดยเฉพาะเรื่องราวประมาณ ‘กูยอมตายแต่ลูกกูต้องรอด’ นี่แหละที่ทำให้ผู้เขียนต้องมีอันต้องเสียน้ำตาได้ทุกครั้ง และสำหรับหนังที่ทำลายสถิติทำให้ผู้เขียนร้องห่มร้องไห้อย่างหนักที่สุดประจำปีนี้ก็ได้แก่ผลงานเรื่อง London River ของ Rachid Bouchareb ที่ถ่ายทอดการเผชิญชะตากรรมร่วมกันของ Elizabeth หญิงม่ายจาก Guernsey กับ Ousmane แรงงานหนุ่มร่างสูงโปร่งจากแอลจีเรียที่ทำมาหากินอยู่ในฝรั่งเศส ทั้งคู่ได้พบกันระหว่างการเดินทางมาตามหาบุตรสาวและบุตรชายที่หายตัวไปหลังเกิดเหตุระเบิดรถ bus และรถไฟใต้ดิน ณ กรุงลอนดอน เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 ก่อนที่พวกเขาจะต้องพบกับความจริงอันแสนเจ็บปวด ผู้กำกับ Rachid Bouchareb เล่นถ่ายทอดเนื้อหาเรื่องราวชวนหัวใจสลายของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ตกอยู่ในห้วงความห่วงใยเลือดเนื้อเชื้อไขที่ยังไม่รู้ชะตากรรมหลังเกิดวินาศภัยครั้งใหญ่ได้อย่างสมจริงเป็นธรรมชาติปราศจากการปรุงแต่ง แถมยังได้แรงหนุนจากการแสดงระดับเมพฯ ของทั้ง Brenda Blethyn และ Sotigui Kouyate ที่ถ่ายทอดหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ออกมาได้อย่างชวนปวดหัวใจยิ่งนัก ทำให้น้ำหู น้ำมูก น้ำตา น้ำลาย อะไรที่ไหลออกมาจากใบหน้าข้าพเจ้าได้มีอันต้องหลั่งทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับท่อประปาแตกตั้งแต่เพิ่งเริ่มเรื่องจนกระทั่งหนังจบ จนคนข้าง ๆ คงต้องนึกสงสัยว่าคนดูหัวดำรายนี้เป็นญาติของตัวละครฝ่ายไหนหรือถึงได้ร่ำไห้อาดูรได้หนักถึงขนาดนี้ จึงต้องขอแสดงความซูฮกด้วยรางวัล ‘ผ้าเช็ดหน้าขลิบทอง’ แห่งปีให้แก่ผลงานเรื่องนี้ไปแบบไม่มีคู่แข่งเลยก็แล้วกัน!

รางวัลพิเศษ

ด้วยอารมณ์โศกซึ้งที่ยังคั่งค้างจาก London River ผู้เขียนก็ขอเพิ่มรางวัลพิเศษเป็นการแถมท้ายมอบให้แก่บทบาทของตัวละครพ่อและแม่ในหนังที่ทำให้เราตระหนักซึ้งถึงนิยามจริงแท้ของคนเป็นพ่อเป็นแม่กันอีกสักสองรางวัล

รางวัลพิเศษ 1

รางวัลคุณพ่อดีเด่นชุดพระราชทานสีปีกแมลงทับ ได้แก่ คุณพ่อ ฟรานซิส จากเรื่อง MY MAGIC กำกับโดย Eric Khoo

กับบทบาทของคุณพ่อนักมายากลหนุ่มร่างใหญ่แต่มีนิสัยสำมะเลเทเมา แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องทำเพื่ออนาคตของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแล้ว ต่อให้ต้องเจ็บปวดใจกายขนาดไหน หรือกระทั่งแลกด้วยลมหายใจ เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินหน้าและลงมือกระทำ!

รางวัลพิเศษ 2

รางวัลคุณแม่ดีเด่นชุดซิ่นแขนกระบอกทอลาย ได้แก่ คุณแม่จูเลีย จากเรื่อง LION’S DEN กำกับโดย Pablo Trapero

กับบทบาทของคุณแม่ท้องอ่อนที่ต้องคดีฆาตกรรมจนทำให้เธอต้องหอบหิ้วทายาทตัวน้อยไปให้กำเนิดและเลี้ยงดูอยู่ในคุกกักขังแม่ลูกอ่อน  จากอุปนิสัยแบบสาวใจแตกที่เห็นลูกตัวเองเป็นมารหัวขนในช่วงแรก สัญชาตญาณความแม่ของจูเลียก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจนทำให้เธอต้องกลายเป็นนางสิงห์ร้ายที่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายหรือพรากเลือดในอกของเธอไป ฉากจบของหนังมันช่างชวนให้สะใจจนเผลอไปตบเข่าคนข้าง ๆ ดังฉาดกันเลยทีเดียว!

TOP 10 CINEMALADY: THE UNCLEARABLE HEPATITIS ATTACKS OF THE YEAR 2009

สิบอันดับหนังชวน ปวดตับระดับ มิไหวจะเคลียร์ประจำปี 2009

โดย . . . ‘กัลปพฤกษ์’

เสร็จจากอันดับหนังที่ ‘โดนอกโดนใจ’ ไปแล้ว ก็ขอต่อด้วยหนังที่ ‘โดนทำร้ายอวัยวะภายใน’ จนก่อให้เกิดอาการ ‘ปวดตับ’ ระดับ ‘มิไหวจะเคลียร์’ กันบ้าง ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ารายชื่อหนังต่าง ๆ ต่อไปนี้ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นหนัง ‘เลว’ เสมอไป แต่จะเป็นหนังที่มีบางสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึก ‘ไม่ได้ดั่งใจ’ จนอยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่ามันน่าจะทำออกมาได้ดีกว่านี้ โดยจะขอไล่ลำดับความรุนแรงของอาการจากน้อยไปมากเรียงหลั่นกันไปในแต่ละอันดับ

10. LET THE RIGHT ONE IN กำกับโดย Tomas Alfredson

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้เขียนสนใจอยากรู้เรื่องราวชีวิตของบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องสังเวยโลหิตให้มากกว่าความเป็นไปของยายผีเด็กตนนั้น? ผู้เขียนมักจะอดรำคาญใจไม่ได้จริง ๆ เวลาที่คนทำหนังหันไปเข้าข้างตัวละครนำของตัวเองด้วยการยัดเยียดความรู้สึกที่ว่า ‘ก็ฉันเป็นนางเอกของเรื่องนี้นะ ทุกสิ่งอย่างที่ฉันทำจึงต้องเป็นอะไรที่ดีงามตามไปหมดสิ’ การที่ยายผีสาวตนนั้น ‘สมควร’ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องแลกกับลมหายใจของผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะเหตุผลบ้องตื้นที่ว่า ‘ก็หนูยังไม่เคยมีความรักเลยนี่คะ จะปล่อยให้หนูตายอย่างเหี่ยวเฉาได้อย่างไร’ จึงเป็นอะไรที่ปวดตับรับไม่ได้เลยจริง ๆ ตัวละครที่ข้าพเจ้ารู้สึกสนใจและอยากติดตามความเป็นไปมากกว่าในหนังเรื่องนี้จึงกลับกลายเป็น หญิงสาวที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยแสงสุริยาหลังรู้ว่าตัวเองมีเชื้อผีดิบด้วยศักดิ์ศรีและ spirit ที่น่ายกย่องยิ่งกว่ามากมายนัก

9. SYNECDOCHE, NEW YORK กำกับโดย Charlie Kaufman

แหม! กว่าที่ Federico Fellini จะทำ 8 ½ (1963) เขาก็ใช้เวลาฝึกปรือฝีมือในการกำกับหนังอยู่ถึง 13 ปี เชียวนะ Charlie Kaufman หละเป็นใครอะไรยังไงถึงได้หาญกล้ากำกับหนังอย่าง Synecdoche, New York เป็นหนังเปิดตัวเรื่องแรกเช่นนี้  ไม่ปฏิเสธเลยว่าวัตถุดิบต่าง ๆ ของหนังนั้นก็ยังจัดว่าแปลกใหม่น่าสนใจแต่ทักษะและฝีไม้ลายมือในการกำกับของ Charlie Kaufman นั้นมันฟ้องชัดเลยว่าเอาไม่อยู่จริง ๆ เริ่มตั้งแต่การเดินเรื่องที่ออกจะอืดยืดสวนทางกับเนื้อหาอันแปลกเปรี้ยว  gimmick กิ๊บเก๋ของหนังก็ยังดูสะเปะสะปะกระจัดกระจายไม่ค่อยจะเห็นวัตถุประสงค์หรือความเชื่อมโยงอะไรที่ชัดเจนเท่าไหร่ ราวกับจะใส่มาให้ดู cool ๆ อย่างนั้น ด้านการแสดงนำของ Philip Seymour Hoffman ก็ยังติดสไตล์ ‘เล่นใหญ่’ และออกจะหมกมุ่นกับอาการ ‘noid ของตัวละครมากเกินไปจนเราไม่อาจเห็นเค้ารอยความสำเร็จในอดีตที่จะทำให้เชื่อได้เลยว่าเขาเป็นผู้ที่สมค่าคู่ควรแก่รางวัลอัจฉริยภาพนี้จริง ๆ ยิ่งมุกของการแสดงซ้อนตัวละครจริงของหนังในช่วงท้ายนั้น บอกได้คำเดียวเลยว่าเป็นอะไรที่‘เละตุ้มเป๊ะ’ จนต้องแอบจบกันแบบดื้อ ๆ ปล่อยให้คนดูต้องมานั่งมึนว่า สรุปแล้วทั้งหมดนี้จะทำไปเพื่ออะไร ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของ Charlie Kaufman ใน Synecdoche, New York เรื่องนี้จึงต้องกลายเป็นอารมณ์หมกมุ่นอันสุดฟุ้งซ่านฟูมฟาย ชวนให้นึกเสียดายว่าถ้าเขารอให้ฝีมือแกร่งกล้าและมีวุฒิภาวะมากกว่านี้อีกสักหน่อย หนังก็คงจะไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะ เฮ้อ! ถ้าอยากดูอะไรแบบนี้แนะนำให้ลองหา Cradle Will Rock (1999) ของ Tim Robbins มาแลเทียบกัน เพราะหนังดูจะทะเยอทะยานพอกันแต่ความมั่นแม่นในฝีไม้ลายมือนั้นยังห่างชั้นกว่ากันอยู่เยอะ

8. ANTICHRIST กำกับโดย Lars von Trier

สำหรับผู้กำกับที่ชอบทำอะไรสุดโต่งอย่าง Lars von Trier แล้ว เสียงตอบรับในเชิง ‘ห่วยแตก’ หรือ ‘แย่บัดซบ’ คงไม่ใช่อะไรที่ต้องมานั่งปวดหัวใจ เพราะมันย่อมเข้าทางลีลาในแบบขวางโลกของเขาอยู่แล้ว แต่เสียงตอบรับที่จะสร้างความเจ็บปวดให้ผู้กำกับตระกูลนี้ได้มากที่สุดก็คงจะเป็น ‘อืม . . . ก็เฉย ๆ งั้น ๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นตรงไหน’ เสียมากกว่า แรกทีเดียวที่หนังได้ไปเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์แล้วสร้างกระแสอื้อหือฮือฮาอู้หู้อ้าหาไปกับความโฉ่งฉ่างรุนแรงเกินพิกัดของหนัง ผู้เขียนก็มีอันต้องตั้งความหวังเอาไว้เต็มหัวใจว่า Lars von Trier ต้องมีทีเด็ดอะไรมาให้ได้ตื่นตะลึงกันอีกเป็นแน่ ยิ่งตอนที่ค่าย Artificial Eye ซื้อหนังเรื่องนี้มาฉายในอังกฤษด้วยท่าทีหวั่นเกรงว่าจะผ่านคมกรรไกรกองพิจารณาภาพยนตร์ที่นี่ได้หรือไม่ ผู้เขียนก็ถึงกับใจจดใจจ่อนั่ง refresh หน้าจอรายงานผล rating ของ BBFC กันเลยทีเดียวว่าหนังเรื่องนี้จะมีโอกาสฉายในอังกฤษในรูปแบบ uncut หรือเปล่า? ผลสุดท้ายปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านการอนุมัติ rate 18 จาก BBFC โดยไม่มีการตัดทอน แถมกรรมการยังออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยว่า “จริง ๆ แล้วความรุนแรงต่าง ๆ ใน Antichrist ก็ยังไม่ค่อยเท่าไหร่นะ ส่วนที่รุนแรงจริง ๆ ก็มีมาแค่แป๊บ ๆ หนังเรื่องอื่น ๆ ที่แรงกว่านี้ยังเคยผ่าน rate 18 โดยไม่มีการตัดมาหลายเรื่องแล้ว!” เอาหละสิ ได้ฟัง comment กรรมการแบบนี้แล้วก็ชักสงสัยว่าจะแรงจริงอย่างที่ใคร ๆ เขาว่าไหม จนผู้เขียนมีโอกาสได้ดูตอนหนังเข้าฉายวันแรกนั่นแหละถึงจะได้รู้ว่ามันก็ไม่เห็นจะอะไรสักเท่าไหร่อย่างที่กรรมการ BBFC เขาว่าจริง ๆ แต่ทำไม้ทำไมที่คานส์เขาถึงได้ hyperฯ อะไรกับหนังเรื่องนี้กันนักหนา สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดใน Antichrist ก็คือบทหนัง จากผู้กำกับที่ผู้เขียนเคยยกย่องว่าเป็นนักเล่าเรื่องตัวฉกาจรายหนึ่งของวงการ แต่เนื้อหาใน Antichrist เรื่องนี้กลับออกมาค่อนข้างจะธรรมดาจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แถมเขายังดันทะลึ่งตั้งชื่อหนังที่ฟังดู ‘แรว้งส์’ ว่า Antichrist ทั้งที่เนื้อหาส่วนใหญ่ก็อ้างอิงจากการเยียวยาในเชิงจิตวิทยา จะแทรกตำนานทางศาสนาอยู่บ้างก็มีแค่เป็นกระสายไม่ได้ขบประเด็นอะไรจริงจังนัก คงจะเพราะชื่อหนังนี่เองที่ทำเอาหลาย ๆ คนหยิบยกเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ไปผูกโยงกับตำนานคริสต์ศาสนากันอย่างเป็นตุเป็นตะ ชวนให้สงสัยได้ต่ออีกว่า Lars von Trier เขาตั้งอกตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ? ด้านฉากแรง ๆ ประเภทสับเฉือนอวัยวะดูยังไง ๆ ก็รู้ว่า fake ถ้าเล่นจริงเจ็บจริงขาดจริงแบบไม่ใช้ตัวแสดงแทน (แอบเห็นนะว่ามีการใช้ stand-in) อย่างนี้สิผู้เขียนถึงจะนับถือ ส่วนการแสดงระดับสติแตกของ Charlotte Gainsbourg นั้นเมื่อเอาไปเทียบกับความบ้าระดับตำนานของ Isabelle Adjani ใน Possession (1981) ของ Andrzej Zulawski แล้วก็ยังแรงได้ไม่ถึงครึ่ง โดยรวมแล้วหนังจึงดูดิบเถื่อนได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่สมศักดิ์ศรีผู้กำกับกลุ่ม Les enfants terribles ร่วมสมัยอย่าง Lars von Trier รายนี้เลย จะมีดีอยู่บ้างก็งานด้านการกำกับศิลป์ที่ปรุงแต่งตอแหลได้เตะตาดี จนแทบลืมไปเลยว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในหัวหอกการสร้างหนังแบบ Dogma เพื่อแสวงหาลีลาบริสุทธิ์! สงสัยจริง ๆ ว่า Lars von Trier ได้ดูหนังเรื่อง Secret Sunshine (2007) ของ Lee Chang-dong ก่อนที่คิดจะทำหนังเรื่องนี้ไหม เพราะถ้าได้ดูเขาคงไม่คิดจะทำหนังเนื้อหาง่อย ๆ อย่าง Antichrist ออกมาให้เป็นที่อับอาย!

7. ‘นางไม้ กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง

เอ่อ . . . เหตุผลเชิญไปอ่านบทวิจารณ์ของผู้เขียนใน FILMAX ฉบับ 26 เดือนสิงหาคม 2552 เอาแล้วกันนะ

6. THE SEA WALL กำกับโดย Rithy Panh

Marguerite Duras / Isabelle Huppert / Rithy Panh แหม! แต่ละนามนี่ช่างเป็นอะไรที่ guarantee คุณภาพของงานได้ดีจริง ๆ แต่อย่าลืมว่านี่คือวงการหนังที่อะไร ๆ ก็สามารถจะเกิดขึ้นได้ ต่อให้มีผู้ร่วมงานระดับแม่เหล็กขนาดไหน หนังก็สามารถจะ ‘ล่ม’ ได้แบบไม่เกรงใจบารมีใคร ๆ เลยเหมือนกัน จริง ๆ ตัวบทประพันธ์ของ Marguerite Duras ถึงจะไม่วิจิตรพิสดารเหมือนเรื่องอื่น ๆ แต่มันก็ยังมีเนื้อหาสาระที่หนักแน่นพอจะทำเป็นหนังดี ๆ สักเรื่องได้ แต่ที่ชวนใจหายก็คือฝีมือการเล่าเรื่องของ Rithy Panh และการแสดงของ Isabelle Huppert ที่ดูจะอ่อนแรงลงอย่างไม่น่าเชื่อ ส่งผลให้หนังดูเปิ่นเชยและจืดชืดจนไม่น่าแปลกใจที่แทบไม่มีเทศกาลใหญ่รายไหน ๆ เทียบเชิญไปร่วมฉายเลย จำได้ว่าตอนที่ดู Rithy Panh ทำหนัง drama อย่าง Rice People (1994) กับ One Evening After the War (1998) ฝีมือเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนี้นี่นา แล้วเหตุไฉนถึงมาพลาดท่ากับเรื่องที่ไม่น่าพลาดอย่าง The Sea Wall นี้ได้ ทั้งที่ฝีมือในเชิงสารคดีของเขาก็ยังคงเฉียบร้ายไม่แพ้ใคร ๆ ในวงการ ส่วน Isabelle Huppert เคยเล่นเรื่องอื่นมาแบบไหน เธอก็ยังคงเล่นอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะปรับเปลี่ยน character ตัวละครให้มันเข้ากับบทสักหน่อยเลยเรอะเจ้าป้า? ที่น่าตกใจคือพอเธอไปรับเล่นบทคล้าย ๆ กันใน White Material (2009) ของ Claire Denis เธอก็ยังคงเล่นแบบเดียวกับใน The Sea Wall เรื่องนี้แบบเป๊ะ ๆ จนชวนให้ผู้เขียนต้องตั้งข้อสงสัยขึ้นมาสักหน่อยแล้วว่าเธอเป็นนักแสดงยอดฝีมือจริง ๆ หรือ ถึงเล่นทุกบทได้เหมือนกันไปหมดเช่นนี้? เอาหละ แต่อย่างน้อยนักแสดงที่มารับบทเป็นลูกชายและลูกสาวในหนังก็ช่างคัดเลือกรูปร่างหน้าตามาได้อย่างไร้ที่ติเลยจริง ๆ แต่ละคนเวลาเดินกันกลางคันนาจึงทำให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังเดินอยู่บน catwalk ยิ่งเขาและเธอดูจะไม่คิดหวงเนื้อหวงตัวนุ่งซิ่นคาดขาวม้าโชว์สรีระกันอย่างไม่อายวัวอายควาย อย่างน้อยหนังก็ยังมีอะไรมาคืนกำไรให้คนดูกันแบบเต็ม ๆ ตาก็แล้วกันแหละน่านะ!

5. PONYO ON THE CLIFF BY THE SEA กำกับโดย Hayao Miyazaki

หากมีใครมาถามผู้เขียนว่ามี animation เรื่องไหนบ้างที่ไม่แนะนำให้เด็กดู นอกเหนือจากบรรดา animation เรท X ทั้งหลายแล้ว ก็คงจะมีเรื่องนี้แหละที่อยากจะฝากให้ผู้ปกครองทั้งหลายใคร่ครวญให้ดี ๆ ก่อนที่จะซื้อหาหรือพาบุตรหลานไปดูชม หากไม่อยากให้พวกเขาเห็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตแบบเอาแต่ใจแถมยังได้รับการสนับสนุนจากบรรดาตัวละครผู้ใหญ่ที่พฤติกรรมไม่ค่อยจะสมกับวุฒิภาวะนัก สิ่งที่น่ารำคาญมากที่สุดก็คืออาการง้อง ๆ แง้ว ๆ ของเจ้าปลาโปเนียวที่ดูจะใช้ชีวิตอย่างเฮฮาปาจิงโกะกันอย่างไร้สติเกินไปหน่อย เพียงคิดอยากจะได้อะไรก็แค่ร้อง อ๊าย้า อ๊าย้า จาอาว จาอาว โดยคิดเอาเองว่าความไร้เดียงสาและน่ารักของตนคงมีเสน่ห์เพียงพอที่จะทำให้คนอื่น ๆ ต้องจัดหามาให้ ถึงหนังจะใช้โครงเรื่องจากนิทาน The Little Mermaid ของ Hans Christian Anderson อย่างชัดเจน แต่บทหนังเหมือนจะลืมหยิบประเด็นสำคัญเรื่อง ‘ราคาแลกเปลี่ยน’ อันเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวมาใส่ไว้ในหนังด้วย ทุกสิ่งอย่างในหนังจึงดูจะคลี่คลายลงอย่างง่ายดายเกินไป อันอาจเป็นการกล่อมเกลาให้เด็ก ๆ เรียนรู้ได้ว่าอยากได้อะไรก็แหกปากร้องโวยวายเข้าไว้ เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาก็จัดหาให้เองหละ! เห็นอย่างนี้แล้วยังเห็นควรจะส่งเสริมให้เยาวชนได้ดูกันอีกไหมหากเราหวังจะให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้เหตุใช้ผลมากกว่าอารมณ์

4. THE BAD LIEUTENANT: PORT OF CALL – NEW ORLEANS กำกับโดย Werner Herzog

นี่ก็อีกรายที่พอจะหยิบจับงานสารคดีก็ทำออกมาได้เสียดิบดีดูมีรสนิยม แต่พอคิดจะหวนกลับมาทำหนังเล่าเรื่องกับเขาอีกครั้ง ไหงมันถึงกลายเป็นงานน่าปวดตับดับจิตถึงขนาดนี้? Werner Herzog คงจะคิดว่าบุญกุศลจากงานในยุคก่อน ๆ คงยังเหลืออีกเยอะเลยกระมัง จึงคิดจะเล่นอะไรยังไงก็ได้ใน The Bad Lieutenant: Port of Call – New Orleans เรื่องนี้   หนังจึงออกมาเหมือนพี่แกตั้งใจจะ ‘สั่ว ๆ’ ‘ชุ่ย ๆ’ แถมยังออกอาการประชดด้วยการไม่ยอมฝากฝีไม้ลายมือใด ๆ ให้ได้เห็นเขี้ยวเล็บกันอีก ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรื่องที่น่าเบื่อถึงน่าเบื่อมาก การแสดงของ Nicolas Cage เองที่ออกแนวติ๊งต๊องเกินกว่าจะน่าเกรงขาม ไอเดียการสร้างอารมณ์ surreal กันด้วยสัตว์เลื้อยคลานนี่ก็ยังเด๋อได้อีก สรุปแล้วไม่ว่าจะมองมุมไหนอย่างไรก็ไม่อาจจะเรียกขานได้เลยว่านี่คืองานสร้างสรรค์ เล่นกันอย่างนี้บ่อย ๆ ระวังบุญเก่าจะหายหดหมดไปโดยไม่ทันตั้งตัวกันเลยนะคุณพี่!

3. KARAOKE กำกับโดย Chris Chong Chan Fui

อย่างนี้แหละที่เค้าเรียกว่า ‘แอ๊บอาร์ท’ กันแบบ Born To Be ใจคอจะไม่มีเนื้อหาสาระและความจริงใจแบบไม่ไก่กาให้คนดูบ้างเลยหรือพ่อ Chris Chong Chan Fui? หนังมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวชีวิตของตัวละครหลักที่ปราศจากเสน่ห์ชวนติดตาม แถมยังคิดจะทำเท่ด้วยการนำเสนอด้วยสูตรสำเร็จของหนังอาร์ทไม่เอาใจตลาดกันแบบตรงตัวเป๊ะ ๆ! แหม! ถ้าคิดจะทำหนังอาร์ทแล้วออกมาทื่อมะลื่อไร้ฝีมือและความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่กันแบบนี้ ก็ควรระวังให้จงดี เพราะงานตลาดที่ไม่ยี่หระต่อคุณภาพใด ๆ อย่างหนังของ พจน์ อานนท์ ก็อาจจะกลับกลายเป็นงานมีเนื้อหาสาระที่ทรงคุณค่าได้มากกว่าหนังแอ๊บอาร์ทที่ปราศจากหัวใจอย่างเรื่องนี้

2. A MOMENT IN JUNE กำกับโดย ณัฐพล วงศ์ตรีเนตรกุล

ไม่ใช่แค่แย่ แต่ถึงขึ้นสาหัสเลยทีเดียวสำหรับ A Moment in June นี่หากเป็นการตรวจข้อสอบก็เรียกได้ว่าผู้ตรวจต้องอ่านถึงสองรอบเพื่อหาที่ให้คะแนน แต่สุดท้ายก็จำใจต้องให้ 0 เต็ม 100 ไปเพราะไม่รู้จะหาจุดไหนพอจะชื่นชมได้เลย ตั้งแต่ลีลาการกำกับที่ออกจะหว่องการ์ไว้ หว่องการ์ไว ได้อย่างไม่คิดเอียงอาย ส่วนบทหนังก็เขียนขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจในตัวละครเอาเลย พฤติกรรมของพวกเขาจึงดำเนินไปอย่างคิดเองเออเองโดยปราศจากความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในแต่ละเพศวัย ด้านการซ้อนทับมิติของเรื่องราวก็เป็นไปอย่างขลุกขลักประดักประเดิด ส่งผลให้เรื่องราวเพ้อฝันอันแสนหมกมุ่นของตัวละครต้องกลายเป็นอะไรที่ละครน้ำเน่ายังต้องเรียกพี่ สรุปแล้วหนังเรื่องนี้จึงเป็นได้เพียงแค่ความพยายามในการเล่าเรื่องราวอันละเอียดอ่อนที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแข็งกระด้างทั้งทางด้านบทพูด การแสดง การกำกับ production งานดนตรี หรือแม้แต่รายละเอียดแบบย้อนยุค!

1. SLUMDOG MILLIONAIRE กำกับโดย Danny Boyle และ Loveleen Tandan

เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ากรรมการออสการ์เองก็มีรสนิยม Cult นิยมหนัง ‘เสื่อม ๆ’ อะไรแบบนี้กับเขาด้วย นึกแล้วก็น่าเสียดายที่ John Waters ทำ Pink Flamingos (1972) ออกมาเร็วไป 36 ปี มิเช่นนั้นแล้วเขาอาจจะแซงหน้า Slumdog Millionaire คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองในปี 2009 นี้เป็นแน่ อยากรู้จริง ๆ เลยว่าผู้กำกับ Danny Boyle กับ Loveleen Tandan เห็นคนดูเป็นโคเป็นกระบือหรืออย่างไรถึงคิดจะสนตะพายจูงไปทางซ้ายก็ไปซ้าย จูงไปทางขวาก็ไปขวาอย่างว่านอนสอนง่าย แหม! คนดูส่วนใหญ่เขาคงไม่ซื่อแบบคณะกรรมการออสการ์ไปทั้งหมดหรอกหนา ถึงจะคิดมาหลอกกันด้วยมุกง่าย ๆ แบบนี้ ถ้าจะเล่นกันถึงขนาดนี้ทางที่ดีก็ประกาศเตือนกันไว้หน้าโรงเลยดีกว่าว่า “คุณผู้ชมที่อยากจะสนุกสนานกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ กรุณาอย่าพกสมองติดเข้าไปในโรง กรุณาฝากไว้บริเวณ counter บริการทางฝั่งซ้าย และถ้าผู้กำกับเล่าอะไรก็ขอให้เชื่อ เชื่อ เชื่อ เชื่อ เชื่อ แล้วก็เชื่อ รับรองว่าท่านจะพบกับสุขีสโมสรไปกับเรื่องราวอันสุดบันเทิงเริงใจชนิดไม่ต้องใช้สติสัมปะชัญญะใด ๆ ให้ต้องหนักกบาลกันเลย” เฮ้อ! ไอ้เราดันลืมฝากสมองเอาไว้ ถึงต้องนั่งดูอย่างอึดอัดขัดใจกับเนื้อหาสุดปัญญาอ่อน ระอากับการแสดงอันสุดกระด้างของตัวละครคู่พระคู่นาง รำคาญกับจริตลีลาด้านภาพที่พยายามจะ ‘กิ๊บเก๋’ แต่กลับกลายเป็นความ ‘เก๊’ ชนิดเด็ก ป. 4 ก็สามารถทำได้กับการหมุนพลิกกล้องง่าย ๆ แบบนั้น สุดท้ายเจ้าสุนัขสลัมตัวนี้จึงเป็นเสมือนสุนัขพันธุ์พื้นเมืองขนปุยตากลมแป๋วหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แถมนิสัยประจำตัวเวลาอยู่ต่อหน้าเจ้านายคือการวิ่งเข้ามาประจบประแจงเลียแข้งเลียขา แต่เวลาลับหลังแล้วสุนัขตัวนี้นี่แหละที่ชอบขี้เยี่ยวเรี่ยราดแล้วหันไปโทษตัวอื่น ๆ ยิ่งเวลามีขโมยขโจรเข้าบ้าน มันตัวนี้แหละที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดก่อนใคร ปล่อยให้สุนัขตัวอื่นเห่าเป็นตายไม่ยอมให้ใครมาบุกรุก! ใครที่คิดจะเลี้ยงสุนัขประเภทนี้ไว้ก็เชิญตามสบาย แต่ข้าพเจ้าไม่ขอเอาไว้ให้เสียข้าวสุกหรอก เฮ้อ! กาลเวลาช่วยพิสูจน์ทีเถิดหนาว่าเจ้าสุนัขสลัมตัวนี้มันมีดีอย่างที่คณะกรรมการออสการ์เขาว่าไว้จริงไหม?

สุดท้ายก่อนจากไปก็ไม่ขอลืมกราบสวัสดีปีใหม่ (แบบไม่ประจบประแจง) พ.ศ. 2553 กับคุณผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ไว้ ณ โอกาสนี้ ขอให้มีสุขภาพพลานามัยที่ดี มีชีวีที่สุขสันต์สำราญกันตลอดทั้งศักราชนี้ด้วยเทอญ . .

ศีลภัทร ตั้งสุขนิรันดร์ นักดูหนัง

หลังจากผ่านเทศกาลหนังสั้นครั้งที่13มาสองจะสามเดือน หนังหลายๆเรื่องก็ได้รางวัลและมีที่ทางในการฉายครั้งต่อๆไป หลายเรื่องในนั้นผมก็พอมีโอกาสได้ดูซ้ำหรืออาจจะได้ยินเพียงข่าวการฉายแต่ ไม่สามารถตามไปดูได้ แต่ที่จะพิมพ์ต่อไปนี้เป็นหนังสั้นส่วนหนึ่งจากเทศกาลหนังสั้นปีนี้ที่ผมยัง จำได้และใคร่อยากจะดูซ้ำอีกที… ถ้ามีโอกาส

หนังสั้นสีขาว/ชั่วแสงเทียน/The White Short Film/The Candle Light/2009/20/ปราปต์ บุนปาน

เรา สามารถพบหนังวิพากษ์การเมืองหลัง2549ที่ทยอยออกมาแทบทุกปี แต่จะมีกี่เรื่องที่จับประเด็นอิทธิพลของสื่อที่มีต่อชนชั้นกลางแบบเราๆโดย ใช้สไตล์ของEssay Filmที่มีการลำดับความคิดอย่างเป็นระบบได้อย่างหนังเรื่องนี้? ขอบอกว่าภายใต้ฟอร์มแข็งๆที่ไร้อารมณ์หนังได้ส่ง’ความคิด’ร่วมสมัยของผู้ กำกับได้อย่างชัดเจนและสนุกคิดสนุกตีความมากทีเดียว

สีบนถนน/Colours On The Streets/2009/62/วีรพงษ์ วิมุกตะลพ

นี้ ถือเป็นหนังสั้นที่สามารถส่งผ่านประสบการณ์ความรู้สึกมาถึงผมได้มากที่สุด เรื่องหนึ่งของปี แม้หนังจะมีเพียงเส้นเรื่องบางๆและฟุตเตจที่ไม่ได้พิสดารไปจากหนังเรื่อง อื่นๆแต่ตอนแรกที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกถึงความกระหายใคร่รู้ ที่หนังส่งผ่านมาถึงคนดูได้อย่างบริสุทธิ์และชัดเจนซึ่งหาได้ยากยิ่ง
ถ้า ให้เปรียบความสงสัยต่อสิ่งรอบข้างในหนังคงมีความงดงามไม่ต่างกับอาการ ตื่นเต้นดีใจของเด็กน้อยที่เพิ่งมีโอกาสหลุดออกจากคอนโดทึบๆไปอยู่ในสวน สาธารณะเป็นครั้งแรก

(เข้าใจว่าดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์จะจัดฉายอีกทีกลางเดือนธันวาที่จะถึงนี้)

The Assignment/2008/17/พีร์ ภานุวัฒน์วนิชย์

หนัง ธรรมดาที่พูดถึงเหตุการณ์ธรรมดา(ตัวละครแอบติ๊งต๊องแต่พองาม)เรื่องนี้คงไม่ ได้ติดใจใครเป็นพิเศษมากนัก แต่การขยี้ซีนแต่ละซีนอย่างละเอียดก็ทำให้เราได้เห็นว่า แม้เหตุการณ์พื้นๆบ้านๆแต่ถ้าได้รับการใส่ใจในรายละเอียด ก็สามารถดูสนุกและ’ดี’ได้โดยไม่ต้องไปดัดเรื่องเปลี่ยนสไตล์ให้วุ่นวาย เพราะความธรรมดาก็มีเสน่ห์ของมันไม่จำเป็นจะต้องเป็นพิสดารแปลกประหลาดมาก มาย

ตะเพียนริมคลอง/2009/28/ณฐพล บุญประกอบ

หลายคนคงแอบ เสียดายที่หนังเรื่องนี้คลาดรางวัลช้างเผือกไป ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หนังเรื่องนี้คงเป็นหนังที่ครูสอนภาพยนตร์หลายๆคนหวังจะเห็นในงานthesisของ ลูกศิษย์ตน(อย่างที่ณฐพลทำให้อาจารย์ของเขาได้เห็น) เรื่องราววิถีชีวิตริมคลองได้ถูกเล่าผ่านภาษาภาพที่ปราณีต ทั้งการผูกเรื่องและวางสัญลักษณ์ในบทภาพยนตร์ก็ถือว่าละเอียดและมีชั้นเชิง ที่ดี ไหนจะเรื่องActingและการเคลื่อนกล้องที่ได้ความลื่นไหลให้กับหนังอีก หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าหนังนักศึกษาไม่ใช่เพียงแค่งานทำพอจบป.ตรีหากได้ ยกระดับลวดลายและชั้นเชิงขึ้นไปเทียบ(และอาจเหนือกว่า)หนังใหญ่ในอุตสาหกรรม ได้เลยทีเดียว

นคร โพธิ์ไพโรจน์ กองบก. BIOSCOPE

10 อันดับหนังในดวงใจที่ได้ดูตลอดปี 2552 ของ นคร โพธิ์ไพโรจน์

1. Revolutionary Road (แซม แมนเดส) : เรื่องชีวิตคู่แสนเส็งเคร็งชาวอเมริกันคือสิ่งที่ผมยี้ที่สุดก่อนจะตีตั๋วเข้าไปดู เพราะ แซม เมนเดส ก็เคยเล่าเรื่องเน่าๆ ของชาวอเมริกันมาแล้วใน American Beauty นี่นา …แต่พอได้ชมจบแล้วก็พบว่า หนังเรื่องนี้มีความเป็นสากลกว่า American Beauty ด้วยซ้ำ ชอบตรงที่คราวนี้แมนเดสเล่าเรื่องพึงละอายของความเป็นมนุษย์ได้อย่างน่าชื่นตาบาน ไม่ได้มุ่งเน้นจะเสียดสีเย้ยหยัดเหมือนหนังออสการ์เรื่องก่อนของเขา แต่เล่ามันอย่างซื่อตรงและตกผลึกมาเต็มที่แล้ว และการแสดงของ เคต วินเสล็ต ก็น่ากราบกว่าใน The Reader ด้วย

2. District 9 (นีล บลอมแคมป์): ความชาญฉลาดของหนังเรื่องนี้คือ 1. เป็นหนังเอเลี่ยนที่เปิดมาด้วยรูปแบบสารคดีเชิงข่าว ทำให้ภาพยานอวกาศลำยักษ์ดูน่าเชื่อถือและน่าตื่นตา 2. การสลับสถานะของเอเลี่ยนให้เป็นผู้ถูกกระทำแทน ยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงปัญหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ชนชั้น เชื้อชาติ และการเมืองที่เกิดขึ้นในแทบทุกอณูของพื้นที่โลก 3. ตัวละครในเรื่องไม่มีใครเป็นฮีโร่โดยสันดานเลยสักคน ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ฮอลลีวูดพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงมาตลอด 4. การตลาดในอเมริกาที่ทำน้อยแต่คิดเยอะทำให้หนังดูน่าเชื่อถือขึ้นแยะ จนส่งผลให้ข้อ 2. ที่ผมเพิ่งกล่าวถึงเป็นที่น่าถกเถียงในวงกว้าง (ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับการโปรโมตในไทยที่คิดน้อยทำน้อยจนกลายเป็นหนังเกรดบีที่ฉายในโรงแบบขอไปทีอย่างน่าเสียดาย)

3. เฉือน (ก้องเกียรติ โขมศิริ) : ลองของ กับ ไชยา หนังเรื่องก่อนหน้าของ ก้องเกียรติ โขมศิริ คืองานชั้นดีที่เหมือนถูกตีกรอบอย่างแน่นหนาจากนายทุน แต่จู่ๆ ก็เหมือนนายทุนใจดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเขาปล่อยให้ก้องเกียรติใส่ความเน่าเฟะของสังคมไทยลงไปในหนังเขย่าขวัญอย่างไม่ยั้ง การเมดเลย์เรื่องชั่วช้าลงไปเป็นชุดอาจทำให้หนังดู ‘เกิน’ ไปสักหน่อย แต่ไหนๆ คนทำก็มีโอกาสปล่อยของแล้ว ก็จงใส่ไม่ยั้งแบบนี้นั่นแหละครับ ผมเชียร์

4. October Sonata รักที่รอคอย (สมเกียรติ์ วิทุรานิช): ผมว่าหนังยังมีอะไรไม่ลงตัวอยู่เยอะ กระนั้นผลงานก็ได้แสดงถึงความทะเยอทะยานของคนทำได้อย่างดี โดยเฉพาะความละเมียดละไมของความเป็นมนุษย์ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกให้ต้องระทมทุกข์กับการรอคอยเกือบทั้งชีวิต และที่สำคัญคือนี่เป็นงานที่สะท้อนได้อย่างดีว่า หนุ่มสาวในยุค 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะมีบทบาทขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือไม่ อย่างไรเสียทุกคนก็ย่อมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางสังคมมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ (โดยเฉพาะทางความคิด)

5. สวรรค์บ้านนา (อุรุพงศ์ รักษาสัตย์): ยอมรับว่าตอนดูหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกเบื่อปนง่วงเป็นบางช่วง อันเนื่องมาจากความคุ้นชินกับการดูหนังฮอลลีวูดแสนโฉ่งฉ่าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังสะกดผมให้จดจ่ออยู่ได้เพราะความตื่นตาจากการได้พบเห็นวัฒนธรรมของตัวละครอันแสนแตกต่างจากที่จินตนาการเอาเอง จนเมื่อดูหนังจบแล้วนำจิ๊กซอว์มาต่อเอาเองก็แทบกรี๊ดเมื่อพบว่าคนทำช่างเข้าใจโครงสร้างของสังคมไทยตั้งแต่ระดับล่างสุดขึ้นไปจนบนสุด แล้วถ่ายทอดมันจนทำให้เราได้เห็นภาพมันอย่างชัดเจนภายในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

6.คนกราบหมา (อิ๋ง เค): สิ่งที่ผมจินตนาการไว้ถึงหนังเรื่องนี้คือ ‘แรง’ อันเนื่องมาจากผลงานต่างๆ ที่ผ่านมาของอิ๋ง เค นั่นเอง แต่พอได้ดูแล้วกลับพบว่า นี่เป็นหนังที่ บ้า ฮา และ สนุกมาก (จนล้างภาพลักษณ์ของอิ๋ง เคที่ผมเคยคิดไว้ออกไปได้เลย) นี่เป็นหนังที่ลงตัวที่สุดในการหยอดมุขตลก และสามารถสะท้อนสังคมไทยได้อย่างเจ็บแสบแต่น่ารักจนผมรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้ดู

7. Black Water (เดวิด  เนอร์ลิช และ แอนดรูว์ ทรอคคี) : ตอนที่เช่าหนังเรื่องนี้มาดูก็แค่อยากหาหนังมาดูพักสมองสักเรื่อง แต่สำหรับหนังเรื่องนี้มันเป็นมากกว่านั้น …นี่เป็นหนังไอ้เข้คลั่งที่มีตัวละครหลักเพียง 3 คน  (มีคนท้องคนหนึ่งด้วย) และเล่าเรื่องอยู่บนต้นไม้แค่ไม่กี่ต้น  เห็นจระเข้กับตาก็แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ทุกองค์ประกอบที่ว่ามานั่นแหละที่สร้างความระทึกจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นได้ตลอดเรื่อง

8. พี่หมีอยากไปอียิปต์ + ฝรั่งเศส (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) : สองเรื่องนี้เป็นหนังที่มีโจทย์กำหนดไว้แล้ว (“พี่หมีฯ” เป็นหนังรณรงค์การสูบบุหรี่, “ฝรั่งเศส” เป็นหนังสร้างความเข้าใจเรื่องผู้พิการ) แต่นวพลก็สามารถเดินตามโจทย์นั้นได้โดยใช้วิธีคิดที่แหกขนบทุกหนังรณรงค์ออกมา จนทำให้ “พี่หมีฯ” กลายเป็นหนังที่หลอนที่สุด (ยิ่งกว่า Paranormal Activity อีก) ส่วน “ฝรั่งเศส” ก็สนุกที่สุดได้

9. The Rocky Horror Picture Show (จิม ชาร์แมน) : เพิ่งจะมีโอกาสได้ดู และก็พบว่า บางที …การทำหนังก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอะไรเลย หนังก็สามารถสนุกได้เหมือนกัน  นี่เป็นงานที่ผมรู้สึกเหมือนมีใครพามาปล่อยที่ซาฟารีเวิลด์โดยไม่มีแผนที่บอกทางอะไรทั้งสิ้น มันคือการผจญภัยที่เพลิดเพลินและตื่นเต้นที่สุดแล้ว

10. Hunger  (สตีฟ แม็กควีน): หนังที่เล่าเรื่องของคนคุกก็มีให้เห็นอยู่หลายเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้มันช่างเต็มไปด้วยภาพ ที่รุนแรงและเจ็บปวด ทว่าสิ่งที่สัมผัสได้หลังจากดูจบกลับคือความละมุนละไมที่ทำให้เราได้ย้อนมองเรื่องราวในอดีตอันไม่น่าพิสมัยได้อย่างมีสติยิ่งขึ้น

ป.ล. เสียดายจริงๆ ที่ กระแต-ศุภักษร ไม่ได้เข้าชิงสาขาการแสดงจากสถาบันหลักใดเลย ทั้งที่เธอคือส่วนที่ดีที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุดของ “กอด” (คงเดช จาตุรันต์รัศมี) แท้ๆ


กลแสงแห่งปี 2009 : A TRICK OF THE LIGHT TOP OF THE YEAR 2009 LIST ภาค2

อาดาดล อิงคะวนิช

1. El Perro, Francisco Goya

สะดุดเจอภาพนี้ในห้อง Black Paintings ที่พิพิธพันธ์ Prado ในสเปน เป็นห้องแสดงภาพสีน้ำมันที่โกย่าเขียนขึ้นในช่วงในเขา ‘เตลิดไปแล้ว’ ตรงมุมซ้ายด้านล่างของผ้าใบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งผืนนี้ มีหัวหมาตัวน้อยโผล่มาให้เห็นนิดนึง พื้นที่ว่างเปล่าส่วนเหลือเปรอะเปื้อนด้วยลายพู่กันปาดสีทะมึนหม่น อะไรคือ subject ของภาพกันแน่? โกย่าวาดภาพนี้บนฝาผนังของบ้านตัวเองในช่วงบั้นปลายชีวิต ราวๆ ค.ศ 1820 หรือครึ่งศตวรรษก่อนที่ modernism จะปรากฏตัวเป็นรูปเป็นร่าง

2. มันต้องถอน ปอยฝ้าย มาลัยพร

หยั่งงี้ดิ national anthem!


3. Heremias Book 2

หนังที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จสมบูรณ์ของผู้กำกับอินดี้ชาวฟิลิปปินส์ Lav Diaz แต่ใจดีให้ยืมไปฉายก่อนได้ ครั้งแรกที่ได้ดูเรื่องนี้ ย่องเข้าไปในห้องฉายหลังจากที่หนังเริ่มไปแล้วยี่สิบนาที ไม่สามารถปะติดปะต่อได้ว่าอะไรเป็นแกนเรื่อง ใครเป็นใคร ภาคแรกก็ยังไม่ได้ดู​ ถึงชอตสุดท้าย ชายผู้หนึ่งเดินตามทางคดเคี้ยวไปยังสุสานกับหญิงสูงอายุคนหนึ่ง พอไปถึงหินบนหลุมฝังศพที่ตั้งใจไปเยี่ยม ต่างคนต่างก็เอามือปัดเศษไม้ใบไม้แห้งบริเวณรอบๆ ทำอย่างเงียบๆ พอเสร็จก็นั่งนิ่ง หญิงผู้เดินกระย่องกระแย่งเอามือวางพาดบนเข่าของชายผู้นั้น เขาก้มหน้าลง ชอตนี้แช่นิ่งยาวนาน ถ่ายเป็นขาวดำ เห็นไกลไปถึงหลั่นเขาจรดทะเลในแบ๊คกราว์นด์ หรืออาจเป็นก้อนเมฆเทาทึม แว่วเสียงตุ๊กแกร้อง พอหนังจบลงปรากฏว่าลุกไม่ขึ้น หายใจไม่ออก

4. แก๊กตลก สิบยี่สิบสามสิบสี่สิบ ใน อีส้มสมหวัง


5. Nostalgia ของ Hollis Frampton

หนัง/ฟิล์ม/ภาพเคลื่อนไหว คืออะไร? สัมพันธ์กับภาพถ่ายอย่างไร? กับเวลาล่ะ? เสียงของนักทำหนังทดลอง Michael Snow ที่แอบอ้างเป็น Hollis Frampton บอกกับเราว่ามองเห็นอะไรบางอย่างในภาพถ่ายภาพนั้น เงาสะท้อนจากหน้าต่างโรงงานฝั่งตรงกันข้ามกับที่เขายืนถ่ายรูปอยู่ ณ วินาทีนั้น ไปสะท้อนอีกทีกับกระจกท้ายรถกระบะคันนั้น เกิดเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นบนภาพถ่าย มีพลังถึงขั้นทำให้เขาเกิดความรังเกียจ หวาดกลัว ไม่กล้าถ่ายภาพอีกเลย (Nostalgia เป็นหนังสั้นเรื่องแรกในซี่รี่ย์สหนังเจ็ดเรื่อง Hapax Lexagomina ของ Hollis Frampton นักทำหนังทดลองชาวอเมริกันยุค 1960s กับ 1970s)

6. On the Camera Arts and Consecutive Matters: The Writings of Hollis Frampton

คนทำหนังเก่งบรมครูที่เขียนหนังสือเก่งบรมครูด้วยเช่นกัน (สังเกตได้ด้วยว่าสองสิ่งนี้มักจะไปด้วยกัน) งานเขียนของ Frampton หนุนเน้นด้วยทฤษฏีแน่นปึ๊ก กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง และตัวอักษร แต่คงมีไม่กี่คนที่สามารถเล่ามันออกมาเป็นนิทานติดตลกได้อย่าง Frampton จังหวะทิ้งลูกฮาของเขาไม่เป็นสองรองคาเฟ่ไหน สำบัดสำนวนก็สั้น ชัดเจน กระชับ กรอบความรู้ที่นำมาอ้างอิงนั้นกว้างจนอยากจะก้มลงกราบงามๆ

7. นิทานเล่าเรื่องจากตำนานจีน ว่าไว้ว่านานมาแล้ว โลกที่อยู่อีกด้านของบานกระจกนั้นเคยเป็นอาณาจักรที่ขึ้นกับตน สามารถก้าวข้ามติดต่อกันได้กับโลกมนุษย์ แต่ต่อมาพ่ายแพ้สงคราม ถูกจักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์จับขัง สาบแช่งให้ผู้คนในอาณาจักรแห่งโลกที่อยู่หลังกระจกต้องเลียนแบบท่าทางของมนุษย์ที่อยู่ในโลกฝั่งตรงกันข้าม พวกเขากำลังรอคอยวันแห่งการปลดปล่อยอยู่ นิทานเรื่องนี้คัดสรรโดย Jorge Luis Borges ในหนังสือที่มีชื่อว่า The Book of Imaginary Beings

8. a cappella งาน choral orchestra ของ Richard Strauss

เผอิญเปิดเจอทางวิทยุ หลังจากนั้นรีบวิ่งไปซื้อซีดีมาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก พลางนึกถึงเรื่องเล่าของ Frampton ใน Nostalgia คิดว่าคงกล่าวถึงสิ่งอันน่าสะพรึงกลัวสิ่งนั้นเหมือนกัน

9. โปรแกรมหนังเด็ดแห่งปี Garden Pieces

รวบหนังหลากประเภท เกี่ยวกับแมกไม้ใบหญ้า Eaux D’artifice ของ Kenneth Anger, All My Life และ Valentin de las Sierras ของ Bruce Baillie

10. Killer of Sheep

หนังนักศึกษาของ Charles Burnett ถ่ายทอดโลกของกรรมกรผิวดำใน LA ยุค 1970s ออกมาได้อย่างอ่อนโยน เศร้าสร้อย รู้ซึ้งถึงเนื้อในของโลกใบนั้น ที่กินใจเหลือเกินคือฉากสแตนเต้นสโลว์แดนซ์กับเมีย เปิดเพลง This Bitter Earth ของ Dinah Washington

กำกำก

ำกำก

11. หนังสารคดีชาติพันธุ์แนว ethnographic poetic สองเรื่องจาก ลาตินอเมริกา Araya (1959) ของผู้กำกับหญิง Margot Benacerraf และ Poetas Campesinos (1980) ของ Nicolas Echevarria สอนให้รู้ว่า หากจะลุกขึ้นมาทำหนังสารคดีแนวนี้ ขอให้สำเหนียกถึงความแตกต่างระหว่างสายตาจ้องมอง ‘ชาวบ้าน’ อย่างอ่อนโยน และให้เกียรติ อย่างที่หนังสองเรื่องนี้ทำได้ กับการมองอย่างน้ำเน่า ฟูมฟาย อันพบเห็นได้ทั่วไป ใกล้ตัวหน่อยก็อย่างเช่นหนัง ‘อิสระ’ ที่มีนามว่าเด็กโต๋

10 หนังประทับใจในปี 2009

โดย จิตรลดา อุดมประเสริฐกุล  นักดูหนัง

ปี 2009 จอยได้ดูหนังรวมแล้วทั้งหมด 187  เรื่อง เก่าใหม่คละกันไปนะคะ หนังที่ประทับใจก็มีอยู่ไม่น้อย ขอเลือกมา 10 เรื่องจากแต่ละทศวรรษก็แล้วกัน

1. L‘homme orchestre (1900)

กำกับและแสดง: Georges Méliès

คนส่วนใหญ่รู้จัก Georges Méliès จากหนังสั้น “จรวดทิ่มตาดวงจันทร์” Le voyage dans la lune (1902) แต่ว่าเขายังได้ทำหนังที่น่าทึ่งเรื่องอื่นๆ อีกกว่า 551 เรื่อง (น่าทึ่งไหม) และโชคดีที่หนังหลายๆ เรื่องของเขาได้ถูกบูรณะและหาดูได้ตาม Youtube จอยเพิ่งมาค้นพบผู้กำกับคนนี้ในปีนี้และเริ่มติดตามหาหนังของเขามาดู ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งทึ่งกับเทคนิคแปลกๆ ที่ไม่ได้คิดว่าจะได้เห็นจากหนังอายุมากกว่า 100 ปี  เพราะตัวของ Georges Méliès เองเป็นนักมายากลมาก่อน เมื่อเขาได้ค้นพบและทดลองเทคนิคภาพยนตร์ต่างๆ จึงนำมาประยุกต์กับมายากลได้อย่างน่าสนใจ จะเห็นได้จากหนังเรื่องนี้ที่ครีเอทีฟมากเพราะเค้าใช้เทคนิคการซ้อนภาพและตัดต่อ แสดงให้เห็นนักดนตรี 7 คน (แสดงโดย Georges Méliès เองด้วย) เล่นดนตรีพร้อมกันเป็นวงออร์เคสตร้า จอยอยากให้ผู้อ่านลองหาหนังเรื่องนี้ดู จะได้รู้ว่าหนังสร้างเมื่อ 110 ปีที่แล้ว มีเทคนิคที่น่าทึ่งแค่ไหน

2. Die Austernprinzessin (1919)

กำกับ: Ernst Lubitsch

แสดง: Victor Johnson, Ossi Oswalda, Harry Liedtke

Ernst Lubitsch (Shop Around the Corner, Ninotchka) นั้นเป็นผู้กำกับในดวงใจจอยอยู่แล้ว สไตล์หนังตลกโรแมนติคบวกทะลึ่งนิดๆ ของเขานั้นเป็นเอกลักษณ์ที่คนเรียกว่า “Lubitsch Touch“ ส่วนหนังเรื่องนี้ที่เลือกมาเพราะว่าไปค้นเจอโดยบังเอิญว่าเป็นหนังเงียบยุคแรกๆ ของลูบิชสมัยที่ยังเป็นผู้กำกับอยู่ในออสเตรีย พอได้ดูก็สุดแสนจะเซอร์ไพรส์เพราะ หนังเรื่องนี้นี่มันตลกเถิดเทิงกว่าหนังพูดของเขาในยุคหลังๆ เสียอีก แถมภาพก็สวยคมชัดแจ๋วซะไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นหนังปี 1919 เนื้อเรื่องก็มีอยู่ว่า เศรษฐีเจ้าของบริษัทขายหอยนางรมกำลังกลุ้มหนักเพราะลูกสาววัยแตกพานอาละวาดทำลายข้าวของในคฤหาสน์เพราะอยากเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที เลยรบกวนให้พ่อสื่อไปหาชายที่คู่ควร ซึ่งเคราะห์กรรมนี้ก็ไปตกที่เจ้าชายนุกกี้ ที่เป็นเจ้าชายแค่ในนาม เพราะฐานะจริงตกต่ำอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาเล็กๆ ที่ชอบอีกอย่างคือตอนเปิดเรื่อง ตัวผู้กำกับและนักแสดงจะมายืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้ากล้องแนะนำตัวว่าใครแสดงเป็นอะไร ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ดูซื่อๆ ดี สมัยนี้น่าจะทำอย่างนี้บ้างนะ

3. You Can’t Take It With You (1938)

กำกับ: Frank Capra

แสดง: Lionel Barrymore, James Stewart, Jean Arthur

„ตายไป ก็เอาติดตัวไปไม่ได้” นี่คือหลักการใช้ชีวิตของคุณตามาร์ติน แวนเดอร์ฮอฟ (แสดงโดย Lionel Barrymore) ที่สอนให้สมาชิกทุกคนในบ้านใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น ไม่ว่ามันจะบ้าบอแค่ไหนก็ตาม เอ่อ เช่นลูกชายอยากจะทำโรงงานประทัดในห้องใต้ดิน อาอยากจะเป็นนักตีระนาด แม่อยากจะวาดรูปและเขียนนิยายไปพร้อมๆ กัน หลานสาวที่ดูจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหน่อยก็ดันไปตกหลุมรักกับลูกชายเศรษฐี (รับบทโดย James Stewart) ที่พ่อมีแผนจะเอาเงินฟาดหัวคุณตามาร์ตินให้ขายบ้านตัวเองเพื่อมาทำห้างสรรพสินค้า คนส่วนใหญ่รู้จักหนังเรื่องนี้เพราะเป็นหนังยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ประจำปี 1939 และเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างผู้กำกับแฟรงค์ คาปราและเจมส์ สจ๊วต ก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมกันสร้างหนังคลาสสิคเรื่องอื่นๆ เช่น Mr. Smith Goes to Washington หรือ It’s a wonderful Life ต่อไป

4. How Green Was My Valley (1941)

กำกับ: John Ford

แสดง: Roddy McDowall, Donald Crisp, Maureen O’Hara

หนังเรื่องนี้น่าสงสาร เพราะดันได้ออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมประจำปี 1942 แต่ที่หนักกว่านั้นคือนี่เป็นหนังที่ชนะ Citizen Kane กับ Maltese Falcon ทำให้โดนวิจารณ์อยู่เสมอว่าสมควรไหมที่ได้รางวัลนี้ แต่จอยคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง เพราะว่าผู้กำกับจอห์น ฟอร์ด ที่มักถนัดทำหนังคาวบอยร่วมกับจอห์น เวนย์หรือเฮนรี่ ฟอนด้า เลือกที่จะทำหนังเล็กๆ ที่ เกี่ยวกับชะตากรรมของครอบครัวหนึ่งและหมู่บ้านทำเหมืองแร่ในแคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ เล่าเรื่องผ่านสายตา ฮิว น้องคนเล็กสุดของครอบครัวมอร์แกน ที่ต้องทนเห็นหมู่บ้านและหุบเขาที่เคย “เขียวขจี” ของเขา มืดหม่นลงพร้อมๆ กับการแตกสลายของครอบครัวของตัวเองที่เคยอบอุ่น เพราะพิษเศรษฐกิจและความโลภของคนในหมู่บ้าน ดูเรื่องนี้แล้ว อดที่จะหลงรัก Roddy McDowell ไม่ได้ เพราะว่าเขาเล่นได้ดูน่าสงสารและก็น่าเอ็นดูด้วย หนังเรื่องนี้ทำให้เขาเป็นดาราดัง ก่อนที่จะเติบโตไปเล่นเป็นลิงใน Planet of the Apes

5. 12 Angry Men (1957)

กำกับ: Sidney Lumet

แสดง: Henry Fonda, Lee J. Cobb, Jack Warden

ห้องเล็กๆ ที่มีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่กลางห้อง เก้าอี้ 12 ตัว พัดลมที่เสียในวันที่ร้อนที่สุดแห่งปี และผู้ชายโกรษเกรี้ยว 12 คนที่ คนดูไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ รู้แต่ว่าเป็นลูกขุนหมายเลข 1 ถึง 12 ที่มาจากฐานะทางสังคมแตกต่างกัน แต่ต้องร่วมกันตัดสินความเป็นความตายของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าสังหารพ่อตัวเอง เนื่องด้วยหลักฐานและพยานเพียงพอ และอากาศที่ร้อนอบอ้าวในห้อง ทำให้ลูกขุนทั้ง 11 คน (ที่อยากจะกลับบ้านเต็มแก่) พร้อมกันลงความเห็นว่าเด็กคนนี้ผิดจริง ยกเว้นลูกขุนหมายเลข 6 (แสดงโดยเฮนรี่ ฟอนด้า) ที่ยังเชื่อว่า ชีวิตของเด็กคนหนึ่งไม่ควรที่จะตัดสินกันลวกๆ แบบนี้ หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า จะทำหนังให้สนุกและตื่นเต้น ไม่จำเป็นต้องมีฉากหรือเครื่องแต่งกายหรือเอฟเฟกต์ราคาแพงอะไรมากมาย ขอแค่มีบทที่ดีกับนักแสดงสุดยอด ก็พอแล้ว

6. El ángel exterminador (1962)

กำกับ: Luis Buñuel

จอยชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุดจากหนังที่ดูในปี 2009 นี้ และในบรรดาหนังของหลุยส์ บุนเยลที่เคยดูมาด้วย หนังมีพล็อตเรื่องที่ง่ายมาก แขกทั้งหลายที่มาร่วมงานปาร์ตี้ไฮโซในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง ค้นพบว่าไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถเดินออกจากห้องนั่งเล่นได้ (ทั้งๆ ที่ไม่มีประตูหรือกำแพงอะไรกั้นเลย) เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร หน้ากากของคนชั้นสูงก็ค่อยๆ หลุดออกมา และเผยให้เห็นจิตใจอันเน่าเฟะและชั้นต่ำของแต่ละคน ดูหนังบุนเยลมากๆ แล้วจะรู้เลยว่าบุนเยลนี่คงเกลียดพวกไฮโซมากแน่ๆ

7. Cabaret (1972)

กำกับ: Bob Fosse

แสดง: Liza Minnelli, Michael York, Joel Grey

เขียนมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านคงต้องคิดแน่ๆ เลยว่า อะไรเนี่ย หนังออสการ์อีกแล้ว นี่เดี๋ยวจะเขียนถึง Crash หรือ Million Dollar Baby ด้วยหรือเปล่านี่ ขอตอบด้วยความสัตย์จริงว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะตอนที่เลือกหนังมาเขียนนี่ไม่ได้รู้เลยว่าหนังได้รางวัลอะไรมาบ้าง ในกรุงเบอร์ลินต้นยุคสามสิบ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีกำลังเริ่มขึ้นสู่อำนาจอย่างเงียบๆ ในขณะที่ผู้คนมัวหลงระเริงในชีวิตกลางคืนและบาร์คาร์บาเรต์อย่าง “คิทแคทคลับ” ที่มีนักร้องสาวเซ็กซี่ชาวอเมริกัน แซลลี่ โบล์ว เป็นดาราประจำคลับ ไลซ่า มินเนลลี่แสดงและเต้นได้สุดเหวี่ยงมากจนพิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ใช่แค่ลูกสาวของจูดี้ การ์แลนด์แล้วนะ หนังเรื่อง Cabaret นี่เป็นหนังที่แปลก เพราะว่าตอนดูจบแล้วไม่ชอบเลย  แต่พอผ่านไปสองสามอาทิตย์ก็ไม่สามารถขจัดหนังเรื่องนี้ไปจากใจได้ โดยเฉพาะตัวละครอย่างแซลลี่ โบล์ว

8. The Purple Rose of Cairo (1985)

กำกับ: Woody Allen

แสดง: Mia Farrow, Jeff Daniels

ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำในอเมริกา เซซิเลีย (แสดงโดยมีอา ฟาร์โรว์) หลบหนีความจำเจของงานและสามีเส็งเคร็ง โดยการเข้าไปดูหนังเรื่องโปรดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งตัวละครพระเอก (เจฟฟ์ แดเนียล) สังเกตุเห็นว่าเธอมาดูหนังบ่อยมากจนตกหลุมรักเธอ และตัดสินใจเดินออกมาจากหนังเข้าสู่โลกแห่งความจริงเพื่อมาใช้ชีวิตกับเซซิเลีย สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้อำนวยการสร้าง คนดู เพื่อนนักแสดงที่โดนขังอยู่ในฉากเดิม และรวมไปถึงตัวของนักแสดงตัวจริง (แสดงโดยเจฟฟ์ แดเนียลเหมือนกัน) ที่พยายามตามหาตัวละครของเขาให้ไปเข้าฉากเหมือนเดิม จอยคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังในดวงใจของหลายๆ คนที่ชอบดูหนังนะคะ ยิ่งตอนจบนี่โดนมากๆ

9.  Festen (1998)

กำกับ: Thomas Vinterberg

งานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบ 60 ปีของนายเฮลเก้ที่มีครอบครัวและเพื่อนๆ มาร่วมฉลองกันอย่างคับคั่ง แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อลูกชายคนโตถือฤกษ์ดีงามนี้กล่าวอวยพรพ่อที่โต๊ะอาหาร โดยการแฉและประจานความลับชั่วของพ่อที่ตัวเองเฝ้าเก็บไว้คนเดียวมาหลายสิบปี สร้างความกระอักกระอ่วนกันไปทั่วหน้า นี่เป็นหนังด็อกม่าเรื่องแรก ใช้กล้องแฮนด์เฮลด์ แสงธรรมชาติ ภาพจึงไม่ได้คมชัด ดนตรีประกอบก็ไม่มี แต่ว่าผลงานของผู้กำกับหนุ่ม โทมัส วินเทอร์เบิร์ก เรื่องนี้จับคนดูไว้อยู่หมัด เราเนี่ยนั่งดูอยู่นอกจอแท้ๆ ยังรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่าย เหมือนเราเป็นแขกที่อยู่บนโต๊ะอาหารไปด้วย ชื่อของหนังแปลว่า “งานเลี้ยงฉลอง” แต่ว่านี่คงเป็นงานเลี้ยงสุดท้ายของครอบครัวเฮลเก้แน่ๆ (ถึงจัดอีกก็คงจะไม่มีใครกล้ามา)

10. Black Snake Moan (2006)

กำกับ: Craig Brewer

แสดง: Samuel L. Jackson, Christina Ricci, Justin Timberlake

อย่าให้โปสเตอร์หนังเรื่องนี้หลอกคุณ ป๋า Samuel Jackson หน้าหื่นถือโซ่เส้นโตล่ามเอวน้อยๆ ของสาว Christina Ricci  ที่อยู่ในเสื้อผ้าเกือบโป๊ แต่จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนัง heartwarming ที่สุดเท่าที่จอยดูมา และเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า Christina Ricci เป็นนางเอกหนังในฮอลลีวู้ดไม่กี่คนที่ underrated และกล้ารับบทท้าทาย ไม่อายชาวบ้าน ก็ดูตัวละครเธอในเรื่องนี้สิ แรงมาก เรย์  สาวเล็กใจโตที่เป็นโรคบ้าเซ็กส์ จนเป็นที่ฉาวปากของคนทั้งเมือง วันหนึ่งเธอโดนข่มขืน ซ้อมจนสลบและถูกทิ้งไว้ข้างถนนหน้าบ้านของลาซารัส (Samuel Jackson) คนสวนผิวดำ ที่รักษาเธอจนหายเจ็บ และเชื่อว่านี่คงเป็นบททดสอบของพระเจ้ากระมัง สั่งให้เขามาปราบผีสิงในตัวเธอ โดยการล่ามโซ่เธอไว้กับเตาผิงจนกว่าเธอจะหายบ้าผู้ชาย (ซึ่งก็ไม่ได้ง่ายเลย) จอยชอบความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครนี้ที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่มาเติมเต็มกันและกัน ลาซารัสกลายมาเป็นเหมือนพ่อที่เรย์ไม่เคยมี ส่วนเรย์ก็มาเติมเต็มชีวิตที่ดูเหมือนจะไร้ค่าของลาซารัส หืม จบแบบซึ้งๆ เลย

Bonus: District 9 และ Inglourious Basterds


แถมท้ายเผื่อกันคนแซวว่า ปี 2009 ไม่มีหนังเรื่องไหนประทับใจเธอเลยเหรอ จอยขอเลือกสองเรื่องนี้มาแล้วกัน เพราะถือว่าเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดแห่งปี โดยเฉพาะที่ก่อนเข้าไปดูนี่แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหนังเลย รู้แค่ อี๋หนังเอเลี่ยน อี๋หนังนาซี แต่พอตอนหนังฉายนี่มันส์มาก ยิ่งหนังเรื่อง Inglourious Basterds ถ้าคนที่เคยดูคงจำไอ้ 20 นาทีแรกได้ ทุกคนในโรงที่จอยดูนั่งกันเงียบและเกร็งมาก จนจอยไม่กล้ากินป๊อปคอร์นเลย (กลัวเสียงดัง)

คนมองหนัง/ทัศนทรรศน์ คอลัมนิสต์ นิตยสาร bioscope

หนังที่ได้ดูในโรงภาพยนตร์ช่วงปี 2552 และยังหลงเหลืออะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจมาจนถึงปัจจุบัน

The Class  (Laurent Cantet / 2008)

โรงเรียนไม่ได้มีเพียงอำนาจครอบงำจากบนลงล่าง หรือ จากระบบการศึกษา/ครูสู่นักเรียนเท่านั้น

Huacho (Alejandro Fernández Almendras / 2009)

หนังชนบทที่ไม่โรแมนติกและไม่แอนตี้โลกาภิวัตน์อย่างง่าย ๆ ทั้งยังแฝงประเด็นเรื่องเพศสภาพไว้อย่างแยบคาย

It’s a Free World (Ken Loach / 2007)

พูดถึงด้านโหดร้ายของระบบทุนนิยมทั้งในแง่โครงสร้างและมนุษย์ผู้ปฏิบัติการได้อย่างไม่เร้าอารมณ์จนเกินควร

Silent Wedding (Horatiu Malaele / 2008)

ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “หนังตลก” แต่เป็นหนังในแนว “เมื่อบิดาต้องอาสัญ” อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ

Watchmen (Zack Snyder / 2009)

แอนตี้ฮีโร่ได้อย่างสุดร้าวราน

Eccentricities of a Blonde-haired Girl  (Manoel de Oliveira / 2009)

หนังของคนแก่ ซึ่งดูเหมือนว่าโลกปัจจุบันกำลังจะย้อนกลับไปยังจุดเปลี่ยนบางอย่างอันคล้ายคลึงกันกับสิ่งที่แกเคยประสบพบเจอมาสมัยยังเป็นหนุ่ม

A Frozen Flower (Ha Yu / 2008)

เรื่องวัง ๆ เลือด ๆ ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดใจอยู่เสมอ

Antichrist (Lars von Tier / 2009)

รัก Charlotte Gainsbourg

Flooding in the Time of Drought (Sherman Ong / 2009)

ชอบเรื่องราวของตัวละครจากอินโดนีเซีย ส่วนเรื่องราวของตัวละครจากไทยก็ตลก สนุก พิลึก และชวนให้ขบคิดตีความได้อย่างมากมาย

Milk (Gus Van Sant / 2008)

หนังนำเสนอถึงวิถีทางการต่อสู้ทางการเมืองได้อย่างน่าสนใจ

Inglorious Basterds (Quentin Tarantino / 2009)

“ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง” ฉบับเก๋ ๆ เท่ ๆ และที่สำคัญคือสนุก

Dogtooth (Giorgos Lanthimos / 2009)

หนังวิพากษ์ “พ่อ-แม่” ที่ดุดันอีกหนึ่งเรื่อง

Vincere (Marco Bellocchio / 2009) และ The Viceroys (Roberto Faenza / 2007)

เรื่องแรกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่ออย่าง “มุสโสลินี” ผ่านมุมมองของเมียและลูกชายลับ ๆ เรื่องหลังเล่าเรื่องราวของ

“เจ้า” ที่พยายามปรับตัวเข้ากับสังคมการเมืองแบบใหม่ของอิตาลีซึ่งปกครองด้วยระบบรัฐสภา พอได้ดูหนังเหล่านี้ในช่วงเวลาปัจจุบันของประเทศไทย ก็ส่งผลให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่น่าสนใจตามมา

เจ้านกกระจอก (อโนชา สุวิชากรพงศ์ / 2552)

คมคาย กล้าหาญ กล้าแตกหัก/ตัดขาด อย่างแนบเนียน

มหา’ลัยสยองขวัญ ตอน ลิฟท์แดง (บรรจง สินธนมงคลกุล และ สุทธิพร ทับทิม / 2552)

หนัง 6 ตุลาที่เดินทางมาไกลที่สุดในปัจจุบัน

October Sonata รักที่รอคอย (สมเกียรติ วิทุรานิช / 2552)

ชอบเรื่องราวความรักของลูก ๆ ที่ถูก “พ่อ(แห่งชาติ)” และ “มาตุ(ภูมิ)” ทอดทิ้ง ขณะเดียวกัน หนังก็นำเสนอประเด็นการต่อสู้ทางการเมืองจากแง่มุมของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่ในฐานะส่วนเสี้ยวอันพร่าเลือนของกลุ่มอัตลักษณ์ร่วม ได้อย่างน่าสนใจ

เฉือน: ฆาตกรรมรำลึก (ก้องเกียรติ โขมศิริ / 2552)

ประเด็นการเมืองเรื่องพื้นที่ การเมืองเรื่องเพศสภาพ การเมืองเรื่องความทรงจำ รวมทั้งการเมืองไทยร่วมสมัย? ถูกบรรจุอยู่ในหนังเรื่องนี้

ท้า/ชน (ธนกร พงษ์สุวรรณ / 2552)

พูดเรื่องวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยได้อย่างน่าสนใจ แม้จะไม่ได้ให้ความหวังในการหลุดพ้นออกจากวงจรดังกล่าวเอาไว้ด้วยก็ตาม

สวรรค์บ้านนา (อุรุพงษ์ รักษาสัตย์ / 2552)

ถ้าลดความโรแมนติก/ความหลงใหลในชนบทลงมาสักหน่อย หนังจะเด็ดขาดมากกว่านี้

วงษ์คำเหลา (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา / 2552)

นำสังคมไทยมากลับหัวกลับหางได้อย่างน่าสนใจ ด้วยเจตจำนงที่ว่าทั้งคนที่เป็นฝ่ายกดขี่และถูกกดขี่ (ซึ่งถูกนำมาพลิกด้านภายในหนังเรียบร้อยแล้ว) ควรอยู่ร่วมกันให้ได้ แม้จะมีความขัดแย้งระหองระแหงเกิดขึ้นเป็นระยะและไม่เคยจางหายไปก็ตาม

เพลงติดหูประจำปี 2552

ชอบอัลบั้มชุด “Schools” โดยเฉพาะเพลง “Heroes” (เพลงแอนตี้ฮีโร่ที่เลือดเย็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกันกับมิวสิควิดีโอ) ของญารินดา บุนนาค

ชอบอัลบั้มชุด “เดโม ซี้ด” ของชุมพล เอกสมญา

ชอบการแสดงสดและเพลง “อีกไม่นาน” ของจุ๋ย จุ๋ยส์

ชอบคอนเสิร์ตของดิ อินโนเซนต์

สำหรับเพลงฝรั่ง ในปีที่ผ่านมานั่งดูดีวีดี “Concert for George” อยู่หลายรอบมาก จุดประสงค์แรกเริ่มที่หาซื้อดีวีดีชุดนี้มาดู ก็เพราะต้องการชมฝีไม้ลายมือการเล่นกีต้าร์ของ Albert Lee แต่ Lee กลับไม่ได้โชว์ฝีมือในคอนเสิร์ตนี้มากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากดูไปดูมา ผมก็กลายเป็นแฟนเพลงของ Tom Petty and the Heartbreakers และ Traveling Wilburys ซึ่งมีบทบาทสำคัญในคอนเสิร์ตดังกล่าวเข้าจนได้

หนังสือที่ชอบในปี 2552

นับถือ “ลับแล, แก่งคอย” ของอุทิศ เหมะมูล นวนิยายที่นำเรื่องเล่า/ประวัติศาสตร์ของสามัญชนมาเล่นกับประเด็นความจริง-ความลวง รวมทั้งท้าทายความคิดกระแสหลักของสังคมได้อย่างคมคายและสนุก

ชอบหนังสือประวัติศาสตร์อาหารชุด Edible ของสำนักพิมพ์ Reaktion Books ได้อ่านไปแล้วหนึ่งเล่มคือ “Hamberger: A Global History” ของ Andrew F. Smith ซึ่งเป็นหนังสือภาษาอังกฤษที่อ่านง่ายและมีเนื้อหาสนุกน่าสนใจมาก สำหรับหนังสือเล่มต่อไปในชุดนี้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะอ่านก็คือ “Pizza: A Global History” ของ Carol Helstosky

ชอบหนังสือ “ฟุตบอล ประเด็นเล็กสะท้านโลก” ของคริส บราเซียร์ ที่แปลเป็นภาษาไทยโดยประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล จัดพิมพ์โดยคบไฟ แม้การแปลบางส่วนจะมีความบกพร่องอยู่บ้าง (เหมือนผู้แปลไม่ได้เป็นแฟนฟุตบอลเท่าไหร่?) แต่ก็ถือเป็นหนังสือที่น่าเอาใจช่วย และเป็นผลงานทางความคิดอีกส่วนเสี้ยวหนึ่งที่ได้แสดงให้เห็นว่าฟุตบอลนั้นเป็นมากกว่าเกมกีฬาทั่วไป

ยกย่องการแปลหนังสือ “ชุมชนจินตกรรมฯ” ของ เบน แอนเดอร์สัน โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ชอบ “ดีไซน์+คัลเจอร์ 2” ของประชา สุวีรานนท์ ได้รับความรู้จาก “สงคราม การค้า และชาตินิยม ในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” ของ พวงทอง ภวัครพันธุ์

ชอบ ได้รับแรงบันดาลใจ และรู้สึกสนุกกับการอ่าน “ศิลปะสถาปัตยกรรมคณะราษฎร” ของชาตรี ประกิตนนทการ ชาตรีอาจไม่ใช่นักวิชาการเพียงคนเดียวในรุ่นอายุของเขาที่ทำการศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อย่างจริงจัง จนสามารถทำให้ผู้อ่านหลายคนมองเห็นคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในมุมมองที่แตกต่างออกไปจากแบบเรียนประวัติศาสตร์กระแสหลัก ทว่าเฉดสีขององค์ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ผิดแผกจากรัฐศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ของเขา ก็ช่วยทำให้ประวัติศาสตร์กระแสรองมีชีวิตชีวาและสามารถต่อกรกับประวัติศาสตร์กระแสหลักได้อย่างหลากหลายมีพลังยิ่งขึ้น

ชอบ “1968 เชิงอรรถการปฏิวัติ” และ “ความไม่หลากหลายของความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ของธเนศ วงศ์ยานนาวา นักวิชาการไทยผู้ทำงานอ่าน-เขียนหนังสือหนักที่สุดคนหนึ่ง

ชอบรัฐศาสตร์สารชุดพิเศษ “รัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ 60 ปี รัฐศาสตร์สาร 30 ปี” (มี 4 เล่ม) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นบรรณาธิการที่ยิ่งใหญ่ของธเนศ วงศ์ยานนาวา

เป็นแฟนประจำของ “ฟ้าเดียวกัน” (โดยเฉพาะฉบับข้อมูลใหม่นั้นร้ายกาจมาก) และ “อ่าน”

ชื่นชม “มติชนสุดสัปดาห์” ที่จัดการกับความหลากหลายทางด้านความคิดได้อย่างค่อนข้างลงตัว นี่ถือเป็นความดีความชอบของบรรณาธิการ (หรือกองบรรณาธิการ) โดยไม่ต้องสงสัย

ชอบงานเขียนแทบทุกชิ้นในมติชนสุดสัปดาห์ของ “คำ ผกา” (รวมทั้งบทวิจารณ์ “ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” ในอ่าน)

รัก “ไม้หนึ่ง ก.กุนที” โดยเฉพาะลีลาการอ่านบทกวี “บูชาคนตาสว่างทุกครัวเรือน” และ “สถาปนาสถาบันประชาชน” ที่หอศิลป์กทม. และมโนทัศน์ “ประชาทิพย์” ที่ปรากฏอยู่ในบทกวีหลายชิ้นของเขา

บุคคลแห่งปี (ขำ ๆ)

“พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์”

หลายปีที่ผ่านมา มักจะมีละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ทางโทรทัศน์ติดอยู่ในการจัดอันดับแห่งปีของผมเสมอ แต่ปีนี้กลับไม่มี เพราะ “เทพสังวาลย์” ก็จบเร็วเกินไปและมีอาการแผ่วปลาย ส่วน “ปลาบู่ทอง” ก็มีเรื่องราวที่ไม่ต้องตรงกับรสนิยมส่วนตัวของตนเองมากนัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากพยายามโยงละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เรื่องต่าง ๆ เข้ากับสังคมการเมืองไทยร่วมสมัยมานานหลายปี ในปีนี้ นักแสดงจากละครประเภทดังกล่าวก็โผล่เข้ามามีบทบาทโดดเด่นในเวทีการเมืองไทยอย่างที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน

นักแสดงคนนั้นก็คือ “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” หรือ “เสด็จพี่” โฆษกพรรคเพื่อไทย

หลายครั้งการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของพร้อมพงศ์ก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวมากนัก (เช่นเดียวกันกับทีมโฆษกจากพรรคประชาธิปัตย์ที่มีเครดิตดีกว่าเสด็จพี่มากมาย)

และการขึ้นมามีบทบาทนำทางการเมืองของเขาก็อาจแสดงให้เห็นถึงผลเสียแห่งการพยายามจะชำระล้าง “นักการเมือง” ผ่านการยุบพรรคตัดสิทธินักการเมืองเป็นว่าเล่นด้วยกระบวนการตุลาการภิวัตน์ โดย “อำนาจหลัก” ในสังคมไทย

แต่มันเหมาะสมแล้วมิใช่หรือที่สังคมซึ่งวางหลักคิดทางการเมืองอยู่บนพื้นฐานเรื่องรามเกียรติ์หรือนารายณ์อวตารปะทะยักษ์อย่างสังคมไทย (แม้แต่การดำรงอยู่ของรูปปั้นยักษ์ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินกิจการของสนามบินสุวรรณภูมิ จนต้องถูกเคลื่อนย้ายไปในที่สุด) จะมีเสด็จพี่จากละครจักร ๆ วงศ์ ๆ มาเป็นนักการเมืองที่ได้ออกทีวีและลงหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน

แถมครั้งนี้ เสด็จพี่/เสด็จพ่อ/เทพ ยังแหกโผมาอยู่กับฝ่ายยักษ์เสียด้วย


กลแสงแห่งปี 2009 : A TRICK OF THE LIGHT TOP OF THE YEAR 2009 LIST ภาค1

นับตามปฏิทิน นี่ก็ล่วงเข้าเดือนกุมภาพันธ์แล้วอาจจะช้าและมาสายไปหน่อยแต่ในที่สุด การรวบรวม อันดับ ‘กลแสง-แห่งปี’ก็สำเร็จลุล่วงไป (อย่างน้อยก็หลายส่วน) ปีนี้เราได้รับความอนุเคราะห์อย่างล้นหลามจนเป็นที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่ทุกท่าน ให้ใจกับการจัดอันดับกันขนาดนี้

แน่นอนว่าถึงที่สุดการจัดอันดับไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการแสดงรสนิยมส่วนบุคคลสิ่งที่ใครคนหนึ่งยกย่อง อาจเป็นขยะในสายตาผู้อื่น การอ่านอันดับของแต่ละท่านจึงต้อง ‘พึงสดับอย่างมีสติ’ อย่างยิ่งว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นมาตรฐานเป็นเพียงเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคลเพียงแต่หากรสนิยมส่วนบุคคลนั้นได้พดพาเอาสิ่งใหม่ๆมาสู่เรามันก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี

ปีนี้ เราพยายามขยายไปแสงหาพรมแดนใหม่ๆ  ขยับจากนักวิจารณ์ นักดูหนังไปสู่บลอกเกอร์หนังหลายท่าน นักเขียนหลายๆท่านรวมไปถึงบรรดานักวิชาการหลากหลายสาขา  (ท่านที่ยังไม่ส่งยังทยอยส่งได้เพราะผมจะทยอยอัพ ตลอดเดือนนี้ครับ  ) และเนื่องจากหลายๆท่าน รวมทั้งกระผมเอง เขียนกันมายาวมาก ผมจึงขออนุญาติทยอยลงเป็นตอนๆนะครับ
เนื่องจากปีนี้ท่านเจ้าสำนักติดภารกิจ ไม่อาจมาเขียนคำเกริ่นนำได้ไอ้กระผมในฐานะผู้ปฏิบัติงานแทนก็ได้แต่ขอให้ทุกท่านสำเริงสำราญกับการอ่านอันดับ ‘กลแสงแห่งปี’ที่มากันแบบ มหากาพย์และขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมส่งอันดับมาแม้ทางผู้ประสานงาน(คือไอ้กระผมเอง)จะทำงานช้าจนน่าเตะ

พบกันอีกทีปีต่อๆไปครับ
FILMSICK

หมายเหตุ TOP LIST ในครั้งนี้จะแชร์ร่วมกับ TOP 10 ARTVIRUS เหมือนในปีที่ผ่านมาครับ

 

RENTONบลอกเกอร์ภาพยนตร์

10 หนังแห่ง ปี  2009

10 หนังประทับใจโดยไม่มีคะแนนลำดับมากน้อยใดๆ ค่ะ

1) Tokyo Sonata (2008) คิโยชิ คุโรซาวา / ญี่ปุ่น

พ่อผู้เป็นเสาหลักของบ้านถูกให้ออกจากงานแต่ปิดบังไม่ให้ทุกคนในครอบครัวรู้ ลูกชายคนโตตั้งใจสมัครเป็นทหารอาสาไปร่วมรบช่วยอเมริกา ลูกชายคนเล็กแอบเอาเงินค่าอาหารกลางวันไปเรียนเปียโน แม่ที่รับรู้ปัญหาทุกอย่างได้พลิกวิกฤติตอนขโมยเข้าบ้านให้เป็นโอกาส ผจญภัยหาความตื่นเต้น รีเฟรชให้กับชีวิต

คุณพ่อบ้านได้เพื่อนร่วมชะตากรรมเรื่องตกงาน การรับอาสาสมัครไปเป็นทหาร การอยากเรียนเปียโนที่เป็นเครื่องดนตรีของฝั่งตะวันตกรวมทั้งการใช้ภาษาอังกฤษของลูกชายคนเล็ก คุณแม่บ้านที่ร่วมมือในการเป็นตัวประกันที่ดีกับหัวขโมย ทั้งหมดนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังเพิ่มระดับความสัมพันธ์กับ “คนนอก” ขยับเข้าใกล้ชิดผู้อื่น คิดและทำตามความต้องการของตัวเอง แต่กลับลืมนึกถึงการใส่ใจคนใกล้ตัวอย่างคนในครอบครัวเดียวกัน

ระยะห่างที่ถ่างออกเรื่อยๆ จากรอยปริ เป็นร้าว เป็นแยกออกจากกันนั้นเมื่อถึงวันที่เราได้ตระหนักก็ดูจะสายเกินไป ทำได้ดีที่สุดแค่นั่งทับมันไว้ ไม่ให้ใครเห็น

ชอบที่หนังสร้างให้ตัวละครติดอยู่กับปมที่แก้ไม่ออกและการมีอยู่ของบาดแผลที่ไม่รู้ว่าเราจะไปสะกิดโดนมันอีกเมื่อไหร่

– – –

2) La Libertad (2001) ลีซานโดร อลองโซ / อาร์เจนตินา

ชีวิตวันหนึ่งจากเช้าจรดค่ำของชายหนุ่มที่ทำงานรับจ้างตัดไม้

ด้วยการค่อยๆ ขยายให้เห็นการทำงานแบบเรื่อยเรียบมาตลอดวัน การเหวี่ยงทุ่มสุดแรงของ “การกิน” ในท้ายเรื่องจึงตราตรึงยิ่งนัก ลิซานโดร อลองโซ เข้าใจดีและทำได้ดีกับการเล่นกับอารมณ์ดิบของคนที่ไร้พันธนาการกับสิ่งใด

– – –

3) The Wrestler (2008) ดาเรน อโรนอฟสกี้ / สหรัฐอเมริกา-ฝรั่งเศส

โค้งสุดท้ายของชีวิตนักมวยปล้ำคนหนึ่งที่กำลังค้นหาว่าหากต้องลงจากเวทีจะลงด้วยวิธีใดดี

หนังที่ดูแมนๆ เรื่องนี้ให้ค่าของการโหยหาความอบอุ่นทางใจได้ยอดเยี่ยมมาก ความ”ผิดหวัง” แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นก็สะเทือนไปทั้งใจ ความเด็ดขาดของตัวละครหลักได้ช่วยย้ำความหนักแน่นของการ “ใช้ชีวิต”

– –

4) Delta (2008) คอร์เนล มุนดรุคโซ / ฮังการี-เยอรมันนี

ชายหนุ่มเดินทางกลับบ้านเกิดพร้อมเงินฟ่อนแต่ปลีกตัวเองไปสร้างบ้านอยู่กลางน้ำห่างไกลชุมชน มีความสัมพันธ์แปลกแปร่งกับน้องสาว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน

ความมั่งมีอาจเปรียบดั่งดินดอนที่อุดมสมบูรณ์ตามความหมายชื่อเรื่อง แต่มองอีกนัยหนึ่งมันคือเศษหินดินตะกอนที่ถูกกักไม่ให้ไหลลงทะเล

คือความย้อนแย้งกันเองที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ รวมทั้งธรรมชาติของมนุษย์

– – –

5) Der Wald vor lauter Bäumen (The Forest for the Trees, 2003) มาเรน อเด / เยอรมันนี

ครูสาวที่ต้องปรับตัวเองหลายอย่างเมื่อย้ายมาสอนในเมือง ทั้งกับนักเรียน ครูด้วยกันและเพื่อนบ้าน แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เคยลงตัว

หนังจบแบบปลายเปิดชวนค้นหา น่าสนใจว่าการหาพื้นที่เหยียบยืนในสังคมอาจยากเย็นกว่าจะได้รับการยอมรับ แต่…ง่ายกว่าการหาตัวเองเจอ

– – –

6) Inglourious Basterds (2009) เควนติน ทาเรนติโน / สหรัฐอเมริกา

อาปาเช่ล่านาซี นาซีล่ายิว และยิวอยากล้างแค้น โดยมีฉากหลังเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบถากๆ หน้าประวัติศาสตร์

โหด จริงจังบนความตลกร้าย ลูกล่อลูกชนในการเล่าเรื่องจัดจ้าน  ขบวนนักแสดงประฝีมือกันได้โดดเด่น  หนังยาว 2 ชั่วโมงครึ่งนึกว่าครึ่งชั่วโมง ดูเพลินจนจบแบบไม่รู้ตัว ทาเรนติโน…นายแน่มาก

– – –

7) Entre les murs (The Class,2008) โลรองต์ กองเตต์ / ฝรั่งเศส

ครูหนุ่มสอนชั้นมัธยมของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในย่านเสื่อมโทรมของปารีสกำลังรับมือกับเด็กนักเรียนทั้งชั้นที่มีความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา จากการถกปัญหา แสดง+เสนอความคิดเห็นที่ท้าทายต่อเหตุผลและความอดทน

ถึงจะมีบทสนทนาทั้งเรื่องและขาดดนตรีประกอบเคล้าคลอใดๆ  ตัวหนังก็น่าติดคิดตามอยู่ทุกช็อต โดยเฉพาะฉากจบที่ตีแสกหน้าระบบการศึกษาได้อย่างน่าปรบมือ

– – –

8 ) Los Bastardos (The Bastards, 2008) อาเมต เอสคาลันเต้  / แมกซิโก-ฝรั่งเศส-สหรัฐอเมริกา

แรงงานหนุ่มต่างด้าวสองพี่น้องทำงานรับจ้างถูกเอาเปรียบและถูกด่าทอเหยียดหยาม เกิดอยากระบายอารมณ์เลยบุกเข้าบ้านหลังหนึ่ง แต่พลั้งมือระเบิดสมองเจ้าของบ้านหญิงดับคาห้องนั่งเล่น

ภาพไร่สตรอว์เบอรี่กว้างสุดลูกหูลูกตา ฟ้าโล่ง เจ้าน้องชายแอบเหลียวหน้ามองหลัง น้ำตาไหลปนเหงื่อ ยกคอเสื้อขึ้นปิดถึงจมูก เหงื่อผุดเต็มหน้า …. เป็นฉากปิดของหนังที่ยอดมากๆ

มีปัญหา สร้างปัญหา ถึงหนีปัญหาพ้นแต่ที่สุดก็ต้องรบกับความรู้สึกในใจตนเอง

– – –

9) Me…Myself ขอให้รักจงเจริญ ( 2550 ) พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง / ประเทศไทย

หญิงสาวตกหลุมรักชายความจำเสื่อมแล้วมารู้ภายหลังว่าที่แท้เขาเป็นกะเทย

เป็นหนังที่รอพิสูจน์ว่า รัก “ห้าม” ได้หรือไม่ และอะไรคือจุดที่บอกว่าเหมาะสม คู่ควร คู่ครอง

พงษ์พัฒน์แม่นยำในประเด็นของตนจนทำให้ “ความจริง” กลายเป็นผู้ร้ายไปเลย

– – –

10) Solas (Alone , 1999) เบนิโต ซามบราโน / สเปน

หญิงชรามาพักอาศัยในห้องเช่ากับลูกสาวในตัวเมืองขณะชายชราเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คุณตาห้องเช่าชั้นล่างเห็นหญิงชราจึงอยากผูกไมตรีด้วย

ความปากร้ายของชายชราที่มีต่อคู่ชีวิต ความใจเย็นของแม่และลูกสาวที่ชินชากับชีวิตรีบเร่ง ความไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวของแฟนลูกสาว คุณตามีหมาเป็นเพื่อนคุย  … เราต่างมีคนมากมายอยู่รายรอบ แต่เหงาเสียจริง

เฉลิมเกียรติ แซ่หย่อง : ผู้กำกับหนังสั้น

 

81ลำดับปี2552คัดสรรจากความจำของนายเฉลิมเกียรติ แซ่หย่อง ความจำของบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้

1.แดนอรัญ แสงทอง

เค้าทำให้ผมอยากมีพจนานุกรมติดตัวตลอดเวลา

1.5คุณเพิ่มพล เชยอรุณ

ได้ดูเมืองในหมอกและชีวิตบัดซบจากแผ่นดีวีดี

2.ผมจำชื่อไม่ได้เค้าวาดภาพสีน้ำรูปนี้

เค้าทำให้ผมไม่รู้สึกผิดที่เก็บงานของตัวเองไว้ อยากให้แม่ได้เจอลุงเค้าจริงๆจะได้เลิกเอาของๆผมไปทิ้งและชั่งกิโลขาย

3.นางสาวศันสนีย์ วิมลศาสตร์

ชอบวีดีโอจากมือถือทุกเรื่องของ นางสาวศันสนีย์ วิมลศาสตร์ มันเป็นแรงบันดาลใจชั้นยอดและสนุกกับมันเสมอเมื่อได้ดู

4.ความว่าง ของสุชาติ สวัสดิ์ศรี / ไม่ย้อนคืน ของอุทิศ เหมะมูล

มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอนอายุ18ขวบ

5.คำนำที่คุณแดนอรัญเขียนถึงคุณอุทิศ เหมะมูล ในระบำเมถุน

5.5สำนักพิมพ์ หนึ่ง / Book virus

เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่พบหนังสือของคุณชาติ กอบจิตติ ที่มีราคาถูกมาก และก็พวกเค้าคือใครกันน่าจะมีแปลออกมาอีกนะครับ

6.วง Serina and Sirinya / วง  ไทร อำนาจ ศิระวงษ์ธรรม

ผมควรจะรู้จักพวกเค้าให้เร็วกว่านี้อย่างน้อยก็ตอนที่พวกเค้าเล่นสดในงานของเติร์ดคลาส

7. Tunyares (short film,Graiwoot Chulphongsathorn, Siam & a century Project)
ชอบกระบวนการทำงานของพี่เค้ามาก

7.5. LETTER TO UNCLE BOONME(APICHATPONG WEERASETHAKUL/2009/THAI)

8. MUNDANE HISTORY(ANOCHA SUWICHAKORNPONG/2009/THAI)

ชอบฉากสุดท้าย มันเป็นฉากที่งดงามมาก(ทั้งที่ไม่อยากใช้คำนี้เลย แต่ไม่รู้จะใช้คำไหนดี) มันเป็นขั้วตรงข้ามกับเวลาถูกจิตวิทยาหมู่ของพระ ที่วัดที่มักกระทำต่อเด็กที่ไปเข้าค่ายอบรมพุทธธรรม

8.5. FLOODING IN THE TIME OF DRAUGHT(SHERMAN ONG/2009/SINGAPORE)

ชอบฉากรถไฟมากๆไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านี้ครับ

9. HEREMIAS BOOK 1

ชอบตอนจบมาก มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนดู The Mourning Forest ครั้งแรก มันทำให้ผมอยากร้องไห้

9.5. EVOLUTION OF FILLIPINO FAMILY

ไม่รู้ว่าจำผิดเรื่องรึเปล่า แต่ชอบฉากที่เหมือนเป็นภาพสารคดีประท้วงกับฉากที่ตัวละครเอกเดินบาดเจ็บแล้วกล้องก็แทรคตาม แสงมันโอเวอร์มาก มากจนไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในหนัง แล้วมันก็สวยมาก

หนังเรื่องนี้มันทำให้ผมเห็นว่า ดิจิตอลมันก็สวยได้ในแบบของมันเหมือนกัน มันอาจจะเป็นหนังที่ยกสถานะของดิจิตอลขึ้นมาได้เทียบเคียงกับหนังที่ถ่ายด้วยฟิล์มก็ได้

10. tokyo sonata

นอกเหนือจากจังหวะการดำเนินเรื่องแล้ว ชอบตัวละครพ่อมาก มันน่าจะเป็นภาพเหมือนของผมในยามมีครอบครัวแน่ๆ

10.5. LILYA 4-EVER

นางเอกเรื่องนี้มีเสน่ห์มากครับ เธอรอคแอนโรลสุดๆ

11.คนจร/คนกราบหมา

ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ดูหนังเหล่านี้ หวังว่าปีหน้าจะมีโอกาสได้ดูหนังลับแลอย่างนี้อีก ผมคอยเรื่อง Birth of Seanema อยู่ครับ

12.นางไม้

ชอบฉากห้องมืดที่ตัวละครเปิดเผยความรู้สึกมากๆ ฉากนั้นฉากเดียว มันทำให้ผมร้องไห้

สมพจน์ ชิตเกสรพงษ์ : ผู้กำกับหนังสั้น

 

สรุปลิสต์ 10 อันดับหนัง ที่ผมได้ดูในปี 2009 (เท่าที่นึกออกตอนนี้) แล้วชอบเป็นพิเศษ มีดังนี้ครับ

–  My Hand Outstretched to the Winged Distance and Sightless Measure

โดย Robert Beavers

กฎมีไว้แหกใช่มั้ย เพราะฉะนั้นอันดับแรก ก็แหกกฎเลยในทันที เพราะอันนี้เป็นซีรีย์รวมหนังสั้นเก่าๆ หลายเรื่องของ Robert Beavers  ผมได้ดูแค่ 2 เรื่อง คือ Early “Monthly Segments” (33 min, 1967-70/ 2002) กับ “Pitcher of Colored Light” (24 minutes, 2007) แต่ก็มากพอที่จะให้ขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่ง

เป็นหนังสั้นที่รู้สึกได้ถึงความประณีตของคนทำ การถ่ายภาพ การคุมจังหวะแต่ละเฟรม การเคลื่อนไหวของกล้อง การตัดต่อเชื่อมแต่ละช็อตให้เข้ากันอย่างเป็นระบบ เป็นหนังที่รู้สึกว่า มือและตาและหูของคนทำ สอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว

เรื่องแรกเป็นหนังเงียบ เกี่ยวกับตัวผู้กำกับเอง สมัยยังหนุ่มแน่น และกระบวนการทำหนังของเขา ดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังดูสถาปนิกกำลังค่อยๆสร้างขื่อสร้างแป วาดแบบ วางผัง ทีละขั้นสองขั้น ง่ายและงามยิ่ง

เรื่องที่สอง ผู้กำกับถ่ายแม่ตัวเอง และสวนในบ้าน เราเห็นดอกไม้ เห็นรูปถ่าย เห็นเฟอร์นิเจอร์ เห็นหน้าต่าง เห็นของเล่นเด็ก เห็นดอกไม้ เห็นสวน เห็นผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่ง เห็นต้นไม้ ดอกไม้ ของเล่นเด็ก รูปถ่าย ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่ง แล้วก็ดอกไม้ ใบไม้ ต้นไม้ หน้าต่าง ฯลฯ เสียงที่ได้ยิน เหมือนจะแค่เสียงลม เสียงธรรมชาติ เสียงพูดคุยเบาๆ แต่อาจกล่าวว่า เสียงธรรมดาๆเหล่านั้น บรรเลงร่วมกันอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล เป็นมโหรีชั้นยอด ของวันเงียบๆธรรมดาวันหนึ่ง ….อย่าให้พูดไปกว่านี้เลย เริ่มน้ำเน่าแล้ว เอาเป็นว่า ดูไปน้ำตาไหลไป

หนังเรื่องต่อๆไปใน list จะไม่แหกกฎแล้ว

– Tulpan

โดย Sergei Dvortsevoy

ใครจะไปคิดว่า ผู้กำกับที่เคยทำหนัง observational documentary อย่าง Bread Day จะผันตัวมาทำหนัง fiction เต็มตัว ได้อย่างน่ารักน่าชังยิ่ง แถมเป็นหนัง romantic comedy อีกต่างหาก เรื่องราวเกิดขึ้นในกระท่อมเล็กๆ กลางทะเลทรายในคาซักสถาน ผู้กำกับใช้ประโยชน์ของบรรยากาศได้อย่างดี ไม่ทิ้งลายคนเคยทำสารคดีมาก่อน ที่ทึ่งคือ กำกับนักแสดงได้พลิ้วขนาดนั้นได้อย่างไร  โดยเฉพาะเด็กๆที่มีอยู่ถึง 3 คน แล้วก็สัตว์นานาชนิด

– It Felt Like A Kiss

โดย Adam Curtis

ชื่อเรื่องมาจากเพลงจี๊ดๆของวง The Crystal ชื่อ “He Hit Me (It Felt Like A Kiss)” ตัวหนังจริงๆแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของวิดิโอประกอบการแสดง ที่ประเทศอังกฤษ ผมได้ดูเฉพาะส่วนของหนัง ซึ่งก็น่าจดจำด้วยตัวของมันเอง Curtis ยังคงแสดงออกแนวคิดทางการเมืองและสังคม ประกอบภาพและเสียงอย่างเข้มข้น เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆของเขา แต่เรื่องนี้ไม่มีเสียงบรรยาย มีแต่เพลงล้วนๆ แล้วแต่ละเพลง มันก็โดนเข้าอย่างจัง โดยเฉพาะเพลงสำคัญ “….He hit me…. and it felt like a kiss…….” โอ้ว มันช่างอธิบายถึงสถานการณ์ทางการเมือง (ทั้งเทศและไทย) ได้เจ็บจี๊ดจริงๆ

เพิ่มเติม

http://www.bbc.co.uk/blogs/adamcurtis/2009/06/it_felt_like_a_kiss_trail_3.html

– Night and Day

โดย Hong Sang Soo

เป็นหนัง ฮองซางซู ที่ถ่ายในฝรั่งเศส น่าจะเป็นหนังที่ตลกที่สุดของเขาแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสไตล์มากมายนัก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสดใหม่ สนุกชวนติดตาม ที่สำคัญรู้สึกได้ถึงความอยู่มือของผู้กำกับ ที่คุมหนังให้ลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ ช่างดูง่ายดายเหลือเกิน

– Out of Time

โดย Harald Friedl

หนังสารคดีออสเตรีย ที่ตามถ่ายร้านค้า 4 ร้านที่กำลังจะปิดกิจการ เราได้สัมผัสถึงวันเวลาที่ร่วงโรยของสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัยชราที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่รั้งรอ คนก็ต้องปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นหนังที่ใช้จังหวะในการให้ข้อมูลทีละนิดๆได้ดีมาก ไม่แปลกใจที่ได้รู้ทีหลังว่า คนถ่ายภาพกับคนตัดต่อเป็นคนเดียวกัน (ไม่ค่อยเจอกรณีนี้เท่าไหร่) หนังมันถึงได้ออกมาทั้งสวยและเนียน ได้จังหวะจะโคนขนาดนี้

– Avenge But One of My Two Eyes

โดย Avi Mograbi

หนังสารคดี โดยคนอิสราเอล (ที่เหมือนจะไม่เห็นด้วยกับอิสราเอล) ว่าด้วยสถานการณ์ตรงพรมแดนอิสราเอล ปาเลสไตน์ โดยคนทำเปรียบเทียบเหตุการณ์ กับเรื่องราวในตำนานของ Samson ที่ชาวอิสราเอลหลายคนยึดเป็นตัวอย่างในการต่อสู้ทำสงคราม ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ไม่ต่างกับสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์กำลังต้องเผชิญจากน้ำมือของชาวอิสราเอลบางส่วน เป็นหนังที่ย้อนแยง ชวนเจ็บปวดใจนัก ผู้กำกับพาเราเข้าไปลุย และเผชิญกับบรรยากาศตรงพรมแดนอย่างใกล้ชิด ใกล้มากจนรู้สึกว่าความอึดอัดคับแค้น มันจะทะลุจอออกมา

– The Silence Before Bach

โดย Pere Portabella

เรียกอันนี้ว่าเป็นหนังอะไรดีล่ะ เป็นหนังลูกผสม ระหว่างสารคดี ฟิกชั่น มิวสิคอล เซอร์เรียล เกี่ยวกับ “บาค” นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิคชื่อดัง ในหนังเราจะได้รู้เกร็ดประวัติชีวิตของเขา ได้ฟังดนตรีของบาค ได้เรียนรู้ชีวิตของคนหลายคนที่เล่นดนตรีของบาค ได้ตามชีวิตคนขับรถบรรทุกขนเปียโน? ชีวิตคนนำไกด์ทัวร์? แต่ทุกคนมาเล่นละคร เป็นตัวของตัว ไม่ได้ถ่ายแบบสารคดี …อาจจะเรียกได้ว่า เป็นหนังหลายชีวิต ที่ทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกับ “บาค” ในทางใดทางหนึ่ง ในหนังมีฉากลองเทค กล้องไหลช้าๆ ตามนักเชลโล่ร่วมยี่สิบชีวิต ที่กำลังบรรเลงเพลงของบาค อยู่ในรถไฟใต้ดินด้วย ดูจงใจโชว์ลูกเล่นมาก แต่ผมก็น้ำตาแตกตามเคย

– Shape of the Moon
โดย Leonard Retel Helmrich

ผู้กำกับตามถ่าย ชีวิตยากไร้ ของชาวบ้านชุมชนแออัดในอินโดนีเซีย อันเต็มไปด้วยปัญหาความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ ศาสนา อาจจะเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนัง observation documentary แต่ถ้า In Vanda’s Room ของ Pedro Costa เล่าชีวิตคนในสลัม ที่แม้จะใกล้ชิด แต่ก็เป็นการนั่งมองอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม หนังเรื่องนี้คือคู่ตรงข้าม เพราะคนดูจะรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเครื่อง simulator กล้องไหลขึ้นฟ้า ลงมาแทบเท้า พุ่งไปยังคนโน้นคนนี้ ประหนึ่ง steadicam บางครั้งรู้สึกว่ากล้องแทบจะกระแทกหน้า subject อยู่แล้ว ตอนแรกได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เกี่ยวกับการถ่ายภาพ ก็งงว่า จะเวิร์คได้ยังไง แต่พอดูแล้ว ก็เออ เวิร์ค เป็นความเวิร์คที่ทรงพลังอย่างประหลาด เพราะมันสอดรับกับชีวิตผู้คนในเรื่อง ที่พลุ่งพลั่งสับสนวุ่นวาย ในหนังมีช็อตพิศดาร มหัศจรรย์อยู่เยอะ ในแบบที่ไม่เคยเจอะเคยเจอ ในหนังสารคดีที่ถ่ายด้วยกล้องวิดิโอธรรมดาๆแบบนี้

– Liverpool
โดย Lisandro Alonso

เรื่องเมื่อกี้ หวือหวามาก แต่ผมกลับรู้สึกชอบ แต่พอมาเรื่องนี้ กับผู้กำกับอีกคน ความหวือหวากลับเป็นปัญหาสำหรับผม เพราะตอนที่ได้ดู Los muertos หนังเรื่องก่อนของเขา แล้วรู้สึกสองจิตสองใจ จะชอบก็ชอบไม่เต็มที่นัก เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าใน Los muertos ผู้กำกับ “โชว์ออฟ” เกินไปหน่อย แต่กับเรื่อง Liverpool หนังดูสงบเรียบง่ายกว่าเดิมมาก ค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่แก่นวิญญาณของหนังสไตล์นี้ ยังคงเต็มเปี่ยม และดูอยู่มือขึ้นกว่าเดิม ขอเรียกสไตล์หนังแบบนี้ว่า observational fiction ซึ่งหลังๆ มีหนังแบบนี้ออกมาเยอะ แต่ไม่ใช่ว่าจะเวิร์คทุกเรื่อง บางเรื่องน่าเบื่อ บางเรื่องเลวร้ายกว่านั้น… แต่ผมว่าเรื่องนี้เวิร์ค ทำให้ความรู้สึกชอบหนังเรื่องอื่นๆของ Lisandro Alonso มีมากขึ้นไปด้วย

– Where the Wild Things Are

โดย Spike Jonze

เป็นหนังที่น่ารัก แล้วก็สนุกมาก ตัว Wild Things แต่ละตัว ก็ทั้งน่ากลัว และน่ากอดในขณะเดียวกัน การพากย์เสียงตัวละคร ก็ทำได้อย่างมีชีวิตชีวา Special Effect ในเรื่องก็ยอดเยี่ยมซะจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นไปได้ เดี๋ยวนี้หนัง effect ส่วนใหญ่ต่อให้เนียนแค่ไหน ดูยังไงก็คอมพ์ ขนาด Avatar ที่ผมไปดูมาแล้ว 2 รอบ (ในระบบ 3 มิติ) ก็ดูคอมพ์อยู่ดี ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสไตล์ที่ผู้กำกับเลือก ซึ่งผมก็ดีใจที่ Jonze เลือกสไตล์แบบ ดิบๆ ลุยๆ ดูจับต้องได้ เรียกว่า หุ่นเป็นหุ่น ฝุ่นเป็นฝุ่น เนื้อเป็นเนื้อ ขนเป็นขน ซึ่งผมว่า มีส่วนสำคัญต่อความรู้สึกทางร่างกายของคนดู เช่น ผมไม่รู้สึกอยากกอด Sully (สัตว์ประหลาดตัวสีฟ้าขนๆ ใน Monster Inc.) หรือแม้กระทั่ง Jake Sully (ตอนเป็น avatar นาวีตัวสีฟ้าใน Avatar) ไม่ว่า ทั้งสองจะน่ากอดแค่ไหนก็ตาม เพราะยังไง ลึกๆก็รู้สึกว่า กอดไม่ได้ กอดไม่ติด แต่ว่าสัตว์ประหลาดใน Where The Wild Things Are รู้สึกว่า กอดได้จริง อุ่นจริง

อุทิศ เหมะมูล นักเขียนรางวัล ซีไรต์

TOP 10 ART VIRUS


Let the Right One In  Tomas Alfredson

เป็นส่วนผสมที่ท้าทาย กล้าหาญ และลงตัว ในการนำแนวทางเขย่าขวัญกับโรแมนติกมาประกอบกัน มีทั้งความเปราะบาง อ่อนหวาน และอ่อนไหว

Waltz with Bashir Ari Folman

สะเทือนใจ หนังก้าวข้ามจากความเป็นแอนิเมชั่นสู่การมีเนื้อหาเข้มข้นและมีรสอย่างวรรณกรรมชิ้นเยี่ยม ประเด็นที่ตั้งไว้ให้พิจารณาเรื่องความทรงจำก็น่าขบเคี้ยว เป็นหนังที่ทรงพลังทางความรู้สึกมากๆ

Departures Yojiro Takita

หนังสูตรที่แม่นตรงไปทุกจังหวะการเล่าเรื่อง ส่งผลให้มันน่าประทับใจและสว่างไสวในอารมณ์

Gomorrah Metteo Garrone

ดิบ เข้ม และจริงจัง เคยเห็นแต่ภาพมาเฟียใส่สูทแบบก๊อดฟาเธอร์ เจอเรื่องนี้เข้าไป มันดิบและห่ามได้ใจ เป็นภาพมาเฟียแบบภูธร แต่ดูเป็นจริงเป็นจังมากๆ โดยเฉพาะภาพชีวิตของเด็กหนุ่มกิ๊กก๊อกสองคนที่อยากจะเป็นขาใหญ่ สุดท้ายต้องจบชีวิตลงอย่างปลดปลงและน่าสังเวชใจ

Rachel getting Married Jonathan Demme

หนังเล็ก กะทัดรัดสมตัว การเห็นวิธีถ่ายทอดเรื่องราวเล็กๆ ง่ายๆ ซึ่งทำได้และลงตัวของผู้กำกับที่เคยทำหนังใหญ่ๆ มาก่อน  ทำให้นึกรักผู้กำกับคนนี้อีกครั้ง

Maradona by Kusturica Emir Kusturica

เรื่องนี้เป็นฉันทาคติส่วนตัวเพราะชอบคอสตูริก้าเป็นทุนเดิม แต่อารมณ์ของหนังสารคดีเรื่องนี้ก็ดูรื่นรมย์ สนุกสนาน และบางคราวก็จัดจ้านและเผ็ดร้อน เหมือนดูเสือกับสิงห์ปะทะกันในหนังสารคดีเรื่องนี้ คนหนึ่งออกหน้า อีกคนเป็นป๋าดัน

Hunger Stive Mcqueen

เป็นโมงยามที่น่าตกตะลึงและอัศจรรย์ คนดูเป็นเหมือนพยานการรับรู้ของสภาพการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของร่างกาย ทุกนาทีที่ผ่านไปในหนังเรื่องนี้ เป็นนาทีของภาพยนตร์ มันมีมนตร์สะกดที่พาเราดิ่งลงสู่การเสื่อมลงของสังขาร เรามัวแต่จังงัง ลืมพิจารณากระทั่งว่า การประท้วงโดยอดอาหารนั้นพาเราไปสู่ด้านสว่างหรือด้านเสื่อม

The Banishment Andrey Zvyagintsev

เป็นการช่วงชิงการโยนบาปที่น่าสะท้อนใจและตรึงตรา ระหว่างสามีภรรยาคู่หนึ่ง เราเห็นการไล่ล้อของบาป ความชิงชัง กระทั่งการสาปแช่ง ที่ผัวเมียคู่นี้โยนลูกให้กันไปมา และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหนังก็กระทบความรู้สึกมากๆ

The Orphanage J.A. Batona

ด้านเนื้อหาและการนำเสนอไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ผลกระทบที่ได้จากหนัง ดูกี่ทีก็รวดร้าวและเศร้าระทม

Silent Light Carlos Reygadas

เรย์กาดาสกลับมาอีกครั้งอย่างสุภาพ บอกเล่าความรัก ความผูกพันในชีวิตคู่ ความเรียบง่ายของวิถีชีวิต แต่ก็มีบาปของการนอกใจอยู่ในเรื่องด้วย หนังสวยงามไม่ใช่เพียงภาพชีวิตไร่นาในชนบท แต่สวยเพราะมันเผยแผ่อารมณ์เปราะบางหลากหลายของมนุษย์ออกมาด้วย สวยเพราะมีศรัทธา และดูสง่างามในความเรียบง่าย ความมหัศจรรย์ในหนังเรื่องนี้จึงเป็นอารมณ์ละเอียดที่งามสง่า

 

ชาญชนะ หอมทรัพย์ (JESSE JAMES)คอลัมนิสต์  นิตยสาร ไบโอสโคป และ กลแสง

Top Films

– Inglourious Basterds (Quentin Tarantino, 2009)

มัน ฮา กวนตีน ตามแบบฉบับหนังตารันติโน่ ตอนแรกนึกภาพหนังน่าจะติดบู๊ลุยๆ เหมือนสมัย Kill Bill แต่เปลี่ยนฉากหลัง    เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแทน พอได้ดูจริงถึงกับอึ้ง เราชอบฉากเปิดมาก ตั้งแต่รถนาซีวิ่งมาจากเทือกเขาไกลๆ

จนกระทั่งฮันส์นั่งคุยกับชาวยิวในบ้านหลังนั้น ชวนให้นึกถึงฉากเปิดตัว Angel Eyes ใน The Good, The Bad and The Ugly (Sergio Leone, 1966) มาก บทสนทนาเฉียบจนต้องดูสามรอบเพื่อเก็บรายละเอียด ดนตรีประกอบโดนตามระเบียบ

– Pat Garrett & Billy the Kid (Sam Peckinpah, 1973)

หนังแซม แพคคินพาห์ที่สวยงามเหมือนเพลงคันทรี่ ส่วนหนึ่งคงเพราะมีบ๊อบ ดีแลนทั้งเล่นและทำเพลงประกอบให้ แต่ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้ผู้กำกับจอมซาดิสฆ์คนนี้ไปหมด เหลือเชื่อว่าหยิบมาดูทุกวันนี้หนังยังพูดถึงประเด็นสากลคือ การรักษาตัวตนไว้กับการขายมันไปเพื่อยอมถูกกลืนเข้าสู่สังคมแบบทุนนิยม แพต กาเรต อาจจะรวยกว่าบิลลี่ เดอะคิด มากแต่เขากลับเหมือนไอ้ขี้เมาในคราบผู้ดีติดตรานายอำเภอ ขณะที่เดอะคิดเหมือนหนุ่มขบถนักคิดที่ร่ายกวีด้วยเพลงปืน ใช้ชีวิตไปวันๆ แหกกฎกรอบสังคม ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ บทสนทนาในบาร์ฉากหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ตรงๆ ในขณะที่ช่วงเวลาหนังออกฉายเอง บ๊อบ ดีแลน กำลังเดินบนเส้นทางดนตรีในฐานะกวีเสรีชน ภาพที่ตัวละครดีแลนมองเดอะคิดในหนังก็คงไม่ต่างอะไรกับหนุ่มสาวในยุคนั้นที่มองเขาเป็นฮีโร่ของมวลชนเช่นกัน

– Shurayukihime AKA. Lady Snowblood (Toshiya Fujita, 1973)

เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่จำเพลง The Flower of Carnage ได้ แล้วพอหันไปดูก็พบว่า หนังกำลังเปิดเรื่องด้วยสตรีร่างระหงในชุดยูกาตะสีขาวนางหนึ่งเดินชดช้อยตามสะพานถือคันร่มมาเรื่อย … จนกระทั่งเสียงบรรยายดังขึ้นว่า “เธอเป็นสตรีที่มาจากนรก” เราก็ไม่อาจละสายตาจากหนังไปได้ตลอดชั่วโมงครึ่ง มันเต็มไปด้วยเลือด เลือด และเลือด การแก้แค้นที่ไม่มีจุดสิ้นสบ เงื่อนงำที่ค่อยคลี่คลายทีละน้อย คาดเดาตัวละครไม่ได้ว่าใครจะอยู่จะไป ช่วงไคลแมกซ์ที่หักมุมจนเราหลังเดาะไปเลย สุดท้ายเส้นเรื่องว่าด้วยหญิงสาวตามแก้แค้นจากเรื่องนี้ก็กลายมาเป็น Kill Bill ของตารันติโน่นั่นเอง

– หลวงพี่กับผีขนุน (ดุลยสิทธิ์ นิยมกุล, 2552)

ดูจบแล้วอยากบวช เพลงเพราะจนต้องตามหาเพลงบวชไวพจน์ชุดใหญ่มาฟัง ชอบคุณค่าและทัศนคติในหนังเรื่องนี้มากๆ เรียบแต่ถึงแก่น …

– ท้าชน (ธนกร พงษ์สุวรรณ, 2552)

ดุเดือดเลือดพล่าน แฝงนัยทางการเมืองล้ำเลิศ ชวนให้คิดต่อไปถึงไหน..ต่อไหน

– Ip Man (Wilson Yip, 2008)

เราชอบ “ยิปมัน” ในแง่ที่หนังเรียกจิตวิญญาณหนังจีนแบบชาตินิยมกลับคืนมา แต่มาในมุมมองใหม่ มองคนญี่ปุ่นไม่ได้เลวรากกันหมด ขณะเดียวกันคนจีนด้วยกันแท้ๆ ก็ใช่จะดีถมไป เราเห็นคนอย่างยิปมันลุกขึ้นสู้อย่างเดียวดายตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีจอมยุทธเต็มบ้านเต็มเมืองท้ายสุดแล้วการแตกความสามัคคีแก่งแย่งชิงดีเอาตัวรอดกัน ท้ายสุดชัยชนะของคนๆ เดียวก็ใช่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ มันทำให้เรารู้สึกว่า เออ ค่านิยมวีรบุรุษจุติมาเปลี่ยนสังคมด้วยตัวคนเดียวแบบหนังอย่าง หวงเฟยหง หรืออื่นๆ มันเปลี่ยนทัศนคติใหม่ตามยุคสมัยไปแล้ว ถ้าใครตีค่าว่าหนังจีนกำลังภายในกำลังจะตายเพราะตกยุค ก็ควรหา “ยิปมัน” มาลองดูกัน

– The Good, The Bad and The Weird (Ji-woon Kim, 2009)

ถ้าหนังคาวบอยอเมริกันคือความลุ่มลึกและเป็นเครื่องมือทางการเมือง หนังคาวบอยอิตาเลียนคือความป่าเถื่อนและการจิกกัดโลกทุนนิยม สำหรับหนังคาวบอยเกาหลีเรื่องนี้คงไม่สนใจทั้งสองอย่าง เพราะตลอดสองชั่วโมงกว่า หนังประเคนความเมามันในฉากดวลปืนสุดเว่อร์, คาแรคเตอร์สามพระเอกทั้งโหดทั้งกวน เส้นเรื่องหยิบมาจาก The Good, The Bad and The Ugly แต่หนังก็สร้างโลกใหม่ขึ้นผสมผสานวัฒนธรรมเกาหลีเข้าไปได้กลมกลืน จนไม่ใช่เป็นแค่หนังอิงหนังเท่านั้น หากยังเป็นหนังอิงสภาพสังคมหลากวัฒนธรรมในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในแทบทุกพื้นที่ของโลกใบนี้ด้วย

 

– Russ Meyer Collection

นิยามสั้นๆ บ้าทุกเรื่อง!! ส่วนใหญ่เล่นสนุกกับเส้นเรื่องของหนังแนวต่างๆ ตั้งแต่

– หนังน้ำเน่าชิงรักหักสวาท – Mudhoney (1965), The Immoral Mr. Teas (1959)

– หนังชีวิตอีสาวห้านางตะกายดาว – Beyond the Valley of the Dolls (1970)

– ไปจนถึงหนังบู๊ลูกทุ่งๆ – Supervixens (1975)

ส่วน Faster, Pussycat! Kill! Kill! (1965) ยังไม่ได้ดู ขอยกยอดไว้เป็นปีหน้าแล้วกัน ฮ่า

โคลีเซี่ยมฟิล์ม คอลเลคชั่น

“มันพ่ะย่ะค่ะ” นิยามสั้นๆ ของหนังจากค่ายนี้ดูสนุกเอามันได้ทุกเรื่อง คิวบู๊ดูแปลกแหวกแนวเพราะได้ลักษณ์ อภิชาต ดารานักบู๊มาช่วยออกแบบคิวบู๊ให้ หวือหวาไม่แพ้คิวบู๊หนังกังฟูหลุดโลกของหวังอยู่พวก “เดชไอ้ด้วนผจญฤทธิ์จักรพญายม” แถมยังขนดาราทั้งไทยทั้งฮ่องกงมาประชันกันให้ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

– เสือภูเขา (คมน์ อรรฆเดช, 2522)

– เพชรตัดหยก (คมน์ อรรฆเดช, 2525)

– พยัคฆ์ยี่เก (คมน์ อรรฆเดช, 2526)

– ตำรวจเหล็ก (คมน์ อรรฆเดช, 2529)

หนังบู๊ไทยในยุคหวาดภัยคอมมิวนิสต์

หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม” มีความน่าสนใจในแง่การเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลในสมัยนั้น

ใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมหาอ่านได้ใน Bioscope ฉบับ 87 อิอิ

– ทอง 1 – 2 – 3 (ฉลอง ภักดีวิจิตร, 2516 – 2525)

– เสาร์ห้า (วินิจ ภักดีวิจิตร, 2519)

– หนักแผ่นดิน (สมบัติ เมทะนี, 2520)

– สนับมือ (วินิจ ภักดีวิจิตร, 2524)

หนังของคุณพิศาล อัครเศรณี

อาเปี๊ยกเป็นพระเอกที่เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงความก้าวร้าวไว้อยู่ในตัว ด้วยลุคส์ของอาเองก็ออกแนวหนุ่มขบถพอสมควร ดวงตาคมดุ แรกๆ เล่น “รักเอย” เป็นพระเอกกวนๆ ประสาทแต่พอมาเป็นพ่อเลี้ยงอารมณ์ร้ายใน “มนต์รักอสูร” ก็ได้เรื่องเลย นับจากนั้นจึงผูกขาดกับบทตบจูบๆ ไล่ตั้งแต่ “เลือดทมิฬ” (ถีบเนาวรัตน์ตกรถจี๊บ), “ไฟรักอสูร” (ถีบสุพรรษาตกเรือ ,2526) เรื่องนี้ฟิล์มสาบสูญหาดูไม่ได้แล้ว มาจบที่ “พิศวาสซาตาน” (เพ็ญพักต์กับฉากจบสุดสยิวชวนสยอง) ซึ่งพลิกสูตรหนังตบจูบทุกอย่างไปหมดเลย อาจเป็นหนังแรงที่สุด ดิบที่สุดถึงด้านมืดที่เรียกว่าตัณหาราคะในใจคนเลยทีเดียว เหล่านี้คือหนังของอาที่ได้ดูในปีนี้และประทับใจไม่รู้ลืม

แสดงนำ

– รักเอย (ม.จ.ทิพยฉัตร ฉัตรชัย,2521)

– มนต์รักอสูร (ม.จ.ทิพยฉัตร ฉัตรชัย, 2521)

– สุดเหงา (พันธุ์เทพ อรรถไกวัลวที, 2525)

– มัจจุราชสีน้ำผึ้ง (พันธุ์เทพ อรรถไกวัลวที, 2525)

กำกับ + แสดงนำ

– เลือดทมิฬ (2523)

– หัวใจเถื่อน (2526)

– อุ้งมือมาร (2528)

– พิศวาสซาตาน (2530)

หนังดอกดิน ล้านแล้วจ้า

เพิ่งจะมีการรีมาสเตอร์หนังผู้กำกับท่านนี้ทั้งชุด บางเรื่องชัดแจ๋วบางเรื่องยังดูไม่ได้ก็มี แต่ส่วนใหญ่ยืนยันว่า “สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกก” สามเรื่องที่เลือกมานี้อาแอ๊ด สมบัติ เมทะนี เหมาเล่นเป็นพระเอกทั้งหมด และยังชื่อ “เอก” ทั้งสามเรื่องด้วย สีสันของหนังดอกดินอยู่ที่ตัวละครบ้าๆ บอๆ เนื้อเรื่องไทยๆ ติดเชย พระเอกคนรวยหลงรักนางเอกยากจน แถมยังเป็นหนังแบบครบรส บู๊,เศร้า,ซึ้ง,ตลก หาดูได้ในหนังเรื่องเดียว

– คนกินเมีย (2517)

– กุ้งนาง (2519)

– สิงห์สำออย (2520)

Top 5 Books

น้ำผึ้งขม  – กฤษณา อโศกสิน

สนุกกว่าละครอีก

จดหมายรักในชีวิตจริงของยาขอบ – ยาขอบ

สำนวนแพรวพราวเหลือร้าย อ่านจดหมายแต่ละฉบับกว่าจะจบแทบขาดใจ

สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ – อุมเบอร์โต เอโค

ลึกลับซับซ้อนหนักอึ้ง เต็มไปด้วยความอึมครึมในโลกที่ศรัทธาเหนือกว่าความผิดถูกทางศีลธรรม สั่นคลอนศาสนจักรได้ยิ่งกว่า

ดาวินชี่ โค้ด

เก็บเบี้ยในรังโจร – ประมูล อุณหธูป แปล

สำนวนแปลร้ายเหลือ จากหนังเรื่องดัง For a Few Dollar More สนุกด้วยสำนวนมีชีวิตชีวา งานแปลชั้นครูที่เต็มไปด้วยความเจนจัดทางวรรณศิลป์อย่างแท้จริง

มาเฟียก้นซอย, เทวีเทวาศักดินาดอลล่า, หลงกลิ่นกัญชา – รงค์ วงษ์สวรรค์

ไมเกิ้ล ล้วน, แจ้ง ใบตอง พบกับแฟร็งค์ สินาตร้า สนุกมันฮาถากถางสังคมไทยได้เจ็บแสบถึงทรวง

Top 5 ละคร

ปริศนา (2530) หมิว ลลิตา – นก ฉัตรชัย

นั่งดูจากแผ่นในห้องพักที่กรุงเทพฯ พ.ศ.2552 แต่ละครเรื่องนี้ดึงเรากลับสู่พระนครยุค 2480-2490 ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เห็นภาพกรุงเทพฯ ที่ท้องถนนยังโล่งไร้รถรา ผู้คนอาศัยสามล้อ, รถราง เรือเมล์เป็นหลัก มันเป็นภาพฝันอันสวยงามที่เราเกิดไม่ทันเห็นแต่ละครทำให้รู้สึกอย่างนั้นได้จริง ที่สำคัญเราสัมผัสความเป็นมนุษย์ได้ในตัวละครแทบทุกตัว ทั้งที่ตัวเรื่องนั้นช่างพาฝันคลับคล้ายซินเดอเรลล่าก็ไม่ปาน

สูตรเสน่หา (2552) เคน – แอน

ฮามาก รั่วมาก พลิกสูตรละครไทยไปหมด เป็นละครที่ผู้ชายกลายเป็นผู้ถูกกระทำตลอดเวลา ฮ่า!

ไฟรักอสูร (2552) ปกรณ์ – สุนิสา

เป็นละครเชยๆ ที่ดูสนุกมาก เสียดายที่ช่วงแรกอืดไปหน่อย กว่าจะเข้มข้นก็ผ่านไปค่อนเรื่องแล้ว เรียกว่าขาดความดุดันแบบที่

ละครของเปี๊ยก พิศาลควรจะเป็นก็ว่าได้ แต่พอถึงคราวโหดก็โหดเหลือเกินนะอาครับ ฮ่าๆๆ

น้ำผึ้งขม (2552) ฉัตรชัย – เจนี่ เทียนโพธ์สุวรรณ

ไม่บ่อยครั้งที่จะได้เห็นทีมนักแสดงหลักรวมกันอายุร่วมร้อยปี .. แต่กลับดึงอารมณ์คนดูให้ทั้งรักทั้งเกลียดตัวละครอย่างคุณปุ๊ – คุณจวง หมั่นไส้คุณโรสและลูกสาวได้อาทิตย์ชนอาทิตย์ และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งที่เราได้ดูพี่นก ฉัตรชัย เปล่งพานิชย์กลับไปเยือนหัวหินอีกครั้งในมาดผู้ชายเจ้าอารมณ์ ปากร้าย ช่างตรงข้ามกับภาพท่านชายพจน์ปรีชาที่เราชินตาจากปริศนาไปเสียฉิบ!

Top 10 song

ทั้งหมดล้วนเป็นเพลงที่ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดปี ไม่มีเบื่อ บางเพลงชอบเนื้อหา บางเพลงชอบภาษา มีทั้งหัวเราะร่า และน้ำตาริน

อุษาสวาท เอื้อ สุนทรสนาน

ยามอุษาฟ้ากระจ่างทั่วนภาสว่างแล้ว ตื่นนิทราเสียเถิดน้องแก้ว…สว่างแล้วนะแก้วตา

จูบฉันแล้วจงตายเสีย เวอร์ชั่น อรวี สัจจานนท์

มาช่วยกันเกลียดมาช่วยกันชัง อย่าอิหนังหวังดีในความเลวร้าย มาสิมาสัมผัสความตาย อยากฆ่าผู้ชายให้ตายเหมือนแมลง …

ดอกนีออนบานค่ำ ตั้กแตน ชลดา

ดอกอะไรดึกแล้วยังไม่นอน  ก็ดอกนีออน…บานค่ำ

น้อยใจรัก ผ่องศรี วรนุช

สี่ในสี่ห้องหัวใจ ฉันให้คุณหมด หมดไม่มีเหลืออยู่ คุณไม่รักแล้วไม่เอ็นดู พอหัวใจคุณเปิดประตู ไม่มีฉันอยู่ในนั้นเลย…

คนสุดท้าย – ผ่องศรี วรนุช

ฉันจะรักคุณเป็นคนสุดท้าย คุณจะดีจะร้ายก็จะหมายรักคุณแน่นอน ใครเขาจะลือว่าคุณคือผู้ชายกะล่อน ไม่มีที่ซุกหัวนอนพเนจรหมอนหมิ่นเซซวน

อาญารัก สุเทพ วงศ์กำแหง

ถ้าอยากประหาร จงประหารฉันด้วยความรัก โทษฉันเบาไม่ใช่โทษหนัก โปรดขังโปรดกัก ด้วยกอดได้ไหม

For Sentimental Reasons – Rod Stewart & Linda Ronstadt (ทั้งสองเวอร์ชั่น)

I Love You For Sentimental Reasons …

Un Amico – Ennio Morricone

ไม่มีคำบรรยาย ตอนแรกฟังเหมือนเพลงจีน แต่ดนตรีกลับซึ้งจนหัวใจสั่น

Yeh Dosti – Ost. Sholay

เวอร์ชั่นต้นฉบับของโชเลย์พเนจร – ยอดรัก สลักใจ ผู้วายชนม์

ความในใจ (Ost. ปริศนา) – ฉัตรชัย เปล่งพานิชย์, อ๊อด คีรีบูณ (ทั้งสองเวอร์ชั่น)

หากรู้ว่ารักเจ้ายังหลีกเร้นหลบ ถ้าพบจะพาดวงใจเปี่ยมรักมา..


3 ทศวรรษกับหนังไทยของบัณฑิต ฤทธิกล

โดย Jesse James


หลังนอนคิดหาเหลี่ยมมุมที่จะเขียนอำลาอาบัณฑิตของน้องนุ่งในวงการหนังไทยอยู่นานสองนาน จนกระทั่งทิ้งช่วงมาได้สองเดือนพอดีหลังการเสียชีวิตของอา กอปรกับได้มีโอกาสนั่งดู “บุญชู” ตั้งแต่ภาค 1 ถึง 8 อีกรอบพร้อมหนังเรื่องอื่นๆ ประปราย เลยนึกขึ้นได้ว่าน่าจะสมควรแก่เวลาแล้วที่จะเขียนบทความอำลาอาบัณฑิตอย่างเป็นจริงจังเสียที

โดยประวัติจะไม่ขอกล่าวเกริ่นอะไรอีก เพราะแฟนๆ หนังทั้งไทยและเทศคงจะพอคุ้นเคยกับงานของอาบ้าง แม้ในช่วงหลังๆ จะแผ่วไปหน่อยจนกระทั่งเริ่มกลับมาเปรี้ยงได้อีกครั้งจาก “บุญชู ภาค 9”  และเพิ่งได้ยินข่าว่าอากำลังเตรียมงานสร้าง “บุญชู ภาค 10” อยู่หมาดๆ การเสียชีวิตในวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมาจึงนับว่ากระทันหันกระทบความรู้สึกผมมากทีเดียว

นับเริ่มจากความทรงจำผมเริ่มรู้จักชื่อ บัณฑิต ฤทธิกล เป็นครั้งแรกจากหนังเรื่อง “บุญชู” นี่แหละ จำไม่ได้ว่าภาคไหนที่ได้ดูในโรงเป็นครั้งแรก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นภาค 6 หลังจากนั้นก็สมัครเป็นแฟนบุญชูและแฟนหนังอาเรื่อยมา มีโอกาสก็ดูเรื่องอื่นๆ ทางวีซีดี โดยเฉพาะบุญชูที่ดูทุกภาคไม่ต่ำกว่าสองรอบ

เท่าที่ดูมา ชอบหนังอาทุกเรื่องในยุคพีคสุดช่วงทศวรรษ 2530 ตั้งแต่ ด้วยเกล้า (2530) จนถึง บุญชู 8 เพื่อเธอ (2538) เทียบกับหนังไทยยุคเดียวกัน หนังของอาบัณฑิตมีเสน่ห์พิเศษที่ทำให้คนดูไม่ว่าจะวัยไหนหลงรักได้ง่ายๆ นั่นคือ “ตัวละคร”

(เพิ่มเติม…)


WFFBKK wishlist 10 +11 : White Days + Flooding in The Time of Drought

โดย FILMSICK

 

ปีที่แล้วเรากร๊ีดแตก กับ Hashi ของ Sherman Ong ขนาดไหน ไปดูได้ ที่นี่

http://filmsick.exteen.com/20081104/wffbkk-2008-roughcut-part-2

เมื่อเดือนที่แล้วเรากร๊ีดแตก กับ In the House of Strae ของ Chris yeo -นาดไหน ไปดูที่นี่

http://filmsick.exteen.com/20091010/in-the-house-of-straw-yeo-siew-hua-2009-singapore

 

แล้วมนเทศกาลนี้ เรามีหนังใหม่ของคนแรก และหนังที่คนที่สองมาเล่นเป็นตัวเอก แถมหนังทั้งหมดที่เราว่าไปสร้างจากบริษัทเดียวกัน!

ฟิลิปปินส์ ยังไม่ไป และสิงคโปร์กำลังมา! ขอบอก!!

(เพิ่มเติม…)


WFFBKK wishlsit 9: ALAIN TANNER retrospective

 

โดย สนธยา ทรัพย์เย็น

Alain Tanner Retrospective ที่เทศกาลหนังเวิล์ดฟิล์มกรุงเทพครั้งที่ 7
http://www.worldfilmbkk.com/news/23/Retrospective:-Alain-Tanner.html

หนังใหม่น่าดูหลายเรื่องเข้าฉายในงาน 7th World Film Festival of Bangkok มีหนังหลายเรื่องมาหลอกล่อ ทั้งหนังของคนเก่าแก่ที่ติดตามกันมานาน และหนังที่วอนขอ อย่าง Philippe Grandrieux (A Lake) http://www.worldfilmbkk.com/films/31/Lake,-A.html, Tsai Ming Liang (Face) http://www.worldfilmbkk.com/films/4/Face.html, Ulrike Ottinger (The Korean Wedding Guest) http://www.worldfilmbkk.com/films/59/Korean-Wedding-Chest,-The.html, João Pedro Rodrigues (To Die Like A Man) http://www.worldfilmbkk.com/films/21/To-Die-Like-a-Man.html, Julio Bressane (The Rat Herb) http://www.worldfilmbkk.com/films/41/Rat-Herb,-The.html กับหนังนักเรียนของสถาบัน Cal arts Shorts http://www.worldfilmbkk.com/films/100/CalArts-Shorts:-Portrait-Documentaries-from-Womens-Perspective..html และก็อีกหลายชื่อที่ไม่คุ้นหู แต่ก็นะ บางทีคนเราก็ชอบย้อนกลับไปหาความทรงจำประทับใจเดิม ๆ ถึงเขาจะไม่ทำหนังใหม่อีกแล้ว อยากดูแล้วดูอีก ดูเท่าไรก็ไม่เบื่อ คราวนี้ก็คงต้องกลับไปดูโรงอีกเพื่อฟื้นความทรงจำ

Alain Tanner หรือ อแลง ตองแนร์ ผู้กำกับชาวสวิสที่เป็นหัวหอกของหนังสวิตเซอร์แลนด์ร่วมกับ Claude Goretta (คล้อด กอเร็ตตา) ในช่วงทศวรรษ 70 อันที่จริงเขาเคยเป็นหนึ่งในกลุ่ม Free Cinema ที่อังกฤษทำเรื่อง Nice Time (1957) กับ Claude Goretta มาก่อนจะแยกดังเดี่ยวในยุคหลังเสียอีก
(เพิ่มเติม…)


WFFBKK wishlist 8 : UN LAC

เลือกโดย สนธยา ทรัพย์เย็น via FILMSICK


ได้รับสิทธิ์จากท่านเจ้าสำนัก ให้มากระจายข่าวเชียร์ UN LAC หนังใหม่ของPhillippe Grandrieux โดยการคัดลอกบางส่วนจากหนังสือ FILMVIRUS เล่ม 2 ที่ท่านเจ้าสำนัก FILMVIRUS เคยเขียนถึง SOMBRE หนังเรื่องแรก ของGrandrieux ไว้ ดังนี้

‘ มันมีบางสิ่งไม่สะอาด ที่เกือบจะเรียกได้ว่าน่าอายในการคลุกคลีกับหนังอย่าง Sombre บรรยากาศชนิดเอกเทศ ที่อัดแน่นไปด้วยสุญญากาศดิบเถื่อนของสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง มันกดต่ำจนหายใจไม่ออก คุณไม่กล้าย่างเท้าไปข้างหน้าเพราะทางเดินมืดสลัว นี่ไม่ใช่ความกลัวแบบแตะไหล่สะดุ้ง แบบเดียวกับที่คุ้นเคยกันดีในหนังสยองขวัญทั่วๆไปแน่ๆ’

(เพิ่มเติม…)


WFFBKK wishlist 7 : Turistas

เลือกโดย FILMSICK

เปล่าๆ นี่ไม่ใช่ หนังแบคแพกสยอง ถูกหลอกไปฆ่าเรื่องนั้นแต่อย่างใด (อย่างไรก็ตามหนังสยองเรื่องนั้นใช้การได้ทีเดียว) หากมันคือหนังใหม่ของ ALICIA SCHERSON ผู้กำกับหนังชิลีเก๋ๆ อย่างPLAY ซึ่งเก่ไม่แพ้ Me and You and Everyone We Know ของเจ๊ มิแรนด้า จูลายแต่อย่าใด แต่หนักข้อกว่า เพราะมันคือ Me and You ฉบับชนชั้น!

เธอกลับมาแล้วพร้อมกับหนังที่ ว่าด้วยสาวนางหนึ่งไปที่ยววันหยุดง่อยๆกับสามีและเฝ้าฝันว่า มันจะเป็นยังไงถ้าเธอเลือก ไปเที่ยวกับไอ้หนุ่มแบคแพคเกอร์ชาวยุโรปที่บังเอิญเจอกัน

หนังหญิงๆ เก๋ๆ ไม่น่าพลาด

(เพิ่มเติม…)


WFFBKK wishlist 6: Christelle Lehureux

 

ชื่อของChristelle Lehureux อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหู หลายคนรู้จักเธอจากการที่เธอเคยมีชื่อมาช่วยอภิชาติพงศ์ ทำ GHOST OF ASIA แต่ไม่ใช่แค่อภิชาติพงศ์ เธอร่วมงานกับผู้กำกับมาแล้วมากมาย  และเป็นศิลปินวีดีโอชื่อดังมีงานฉายมาแล้วหลายที่ทั่วโลก และในที่สุดก็มาถึงประเทศไทย และไม่ได้มาเรื่องเดียวมาตั้งสองเรื่อง!

อันนี้ประวัติ จาก เวบเทศกาล ครับ

Christelle Lheureux ศิลปินวิชวลอาร์ตหัวก้าวหน้าชาวฝรั่งเศส เธอเป็นทั้งศิลปินวีดีโอจัดวาง และคนทำหนัง งานของเธอมัก จะเป็นการเล่นแร่แปรธาตุโครงสร้างการเล่าเรื่อง และแสดงถึงความหลงไหลในมนต์ขลังภาพยนตร์  เธอเคยร่วมงานกับศิลปินหัวก้าวหน้าหลายต่อหลายคน อาทิ Albert Serra, Miguel Gomes, Eugene Green, Cyril Neyrat, Philippe Grandrieux รวมถึงอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่ผลล่าสุดซึ่งทั้งคู๋ทำร่วมกันคือ Ghost of Asia ซึ่งได้รับทุนจากสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยและเทศกาลภาพยนตร์โลก แห่งกรุงเทพฯ ได้รับการฉายรอบปฐมทัศน์โลกในเทศกาลฯเมื่อปี2006

 

เวบไซต์ของเธอครับ

http://christelle.lheureux.free.fr

(เพิ่มเติม…)