ผู้หญิงในหนังของ ริวอิจิ ฮิโรกิ (Ryuichi Hiroki)
โดย Filmvirus

อ้าว กำลังดูเพลิน ๆ ดันจบเสียได้ เรื่องนี้มีสองสาวดาราวัยรุ่นยอดนิยม คือ Maki Horikita กับ Meisa Kuroki (สาวผิวคล้ำจากโอกินาว่าคนนี้เล่นหนังแอ็คชั่นเรื่อง Assault Girls ของ Mamoru Oshii (Ghost in the Shell) ในดีวีดีมีเบื้องหลังถ่ายทำ มีบทสัมภาษณ์สองสาว เสียดายฟังไม่ออก ไม่มีซับอังกฤษ แต่ทำเก๋ตรงที่มานั่งเก้าอี้แบบในห้องเรียนอยู่หน้าห้อง หันหลังให้กระดานดำ และหันหน้าตรงเข้าหากล้อง มีช่วงหนึ่งในการสัมภาษณ์ที่ Maki ลุกมาเขียนชอล์คบนกระดาน น่ารักดี

เธอเล่นเป็นสาวที่ใกล้จะตายเลยเขียนจดหมายทิ้งไว้ ขอพ่อกลับไปหวนหาอดีตที่บ้านเก่า กลับไปหาผู้ชายที่เธอเคยรัก ผู้ชายคนนี้ก็ต้อนรับขับสู้เธอดี แต่หัวใจเขาไม่คิดอะไรอื่นไกล เพราะไปอยู่กับคนที่ใกล้กว่าคือผู้หญิงมีลูกมีผัวแล้ว หนังเด่นมากตรงที่สะท้อนชีวิตเรียบ ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักที่บ้านนอก แล้วก็ให้ภาพนางเอกที่ไม่ใช่คนดีนักหนา เพราะเธอเริ่มออกลายร้ายเงียบ เพราะเธอไม่ได้ดั่งใจหวัง หนังอาจจะดราม่ารุนแรงกว่านี้ได้ แต่สุดท้ายนางเอกก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้ดีชั่วอะไรพิเศษ สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ตีโพยตีพายบอกใครด้วยซ้ำว่าใกล้จะตายอยู่รอมร่อ แต่ฉากบนรถเมล์ที่เธอไล่ยาวโมโนล็อกนั่นแหละ คนดูหลายคนขอตายแทน
เรื่องนี้จิ้งหรีดญี่ปุ่นที่ปกติทำงานดีแล้ว ยิ่งร้องดีเข้าไปอีก เหมาะกับหนังมากขึ้นกว่าหนังญี่ปุ่นทั่วไป
ดูแล้วทึ่งกับการกำกับนักแสดงและบรรยากาศ ทำให้สะดุดชื่อผู้กำกับขึ้นมา คือ ริวอิจิ ฮิโรกิ (Ryuichi Hiroki – 廣木 隆) โชคดีเหลือเกินว่าจากดีวีดีที่ซื้อมาในล็อตเดียวกันมีหนังของคนนี้อีกเรื่อง เลยรีบดูซะ
Girlfriend: Someone Please Stop the World (หนังปี 2004) หนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองสาว สาวคนหนึ่งมีพรสวรรค์ทางถ่ายภาพแต่ชอบเมาเละ และมักตื่นมาพบตัวเองนอนกับชายแปลกหน้า อีกคนหนึ่งติดใจว่าพ่อของเธอทิ้งเธอไปตอนเด็ก จนเธอได้พบเขาอีกและลังเลว่าจะเผชิญหน้าคุยกับเขาดีไหม หนังง่ามแง่อยู่ระหว่างความสัมพันธ์ของคนถ่ายกับคนถูกถ่ายที่เกือบจะเป็นคู่เลสเบี้ยน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสัมพันธ์ที่งดงามในแสงเงาเกินกว่าจะนิยามขอบเขต
เหมือนชีวิตสองสาวนี้ก็มีความสุขดี ไม่ได้ลำเค็ญเหลือแสน การอยู่โดยไม่มีพ่อมันก็อยู่ได้ มันไม่ทำใครตายสักกะหน่อย ส่วนสาวตากล้องก็ไม่ได้ถูกทารุณหรือกดขี่ชีวิต อย่างน้อยคนก็รับรู้ในฝีมือและได้ทำงานในแบบที่อยากทำ (หรือใกล้เคียง) มันก็แค่คนสองคนที่พบคนที่ถูกคอถูกใจช่วยถมถางความโหวงเหวงในใจ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องเกี่ยวกับเซ็กส์เสมอไปอย่างที่คนดูหนังเราจะคุ้นเคย แม้แต่ในฉากถ่ายแบบเปลือยของช่างภาพ-โมเดล (ที่ชวนนึกถึงฉากของ Juliet Binoche กับ Lena Olin ใน Unbearable Lightness of Being – แต่เรื่องนี้คนละอารมณ์กัน) มันก็ให้เข้าใจอุณหภูมิอารมณ์ของสองสาวที่เปิดเผยสีสันในใจใต้ผิวหนังได้ดีขึ้น ละเอียดอ่อนดีเหลือเกินทำหนังแบบนี้ ถึงแม้ตอนดูจะงงนิดหน่อย เหมือนมีทั้งแฟลชแบ็คและแฟลชฟอร์เวิร์ด ปรับสมองตามไม่ทันในช่วงแรก แต่เรื่องอารมณ์คนแสดงและการกำกับมือหนึ่งเลยแหละ
หนังสองเรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าผู้กำกับ ริวอิจิ ฮิโรกิ ทำหนังเกี่ยวกับผู้หญิงเก่ง วางมือละเมียดละไมแบบชีวิตธรรมดาที่ดูจริงซึ่งหาได้ยากในหนังญี่ปุ่น เพราะส่วนใหญ่จะละเมียดแบบบีบซึ้งเสียมากกว่า
พอค้นข้อมูลดูยิ่งทึ่งว่า ริวอิจิ เคยทำหนัง Pink Film มาก่อน (เพิ่งเห็นว่าเคยทำ 1 ในหนังสั้นอีโรติกผู้หญิงปี 2005 ชุด Female – หนังชุดนี้เคยดู แต่ไม่รู้ว่าเขาทำตอนไหน?) แล้วเขาก็ทำหนังหลายแนว ตั้งแต่ April Bride, Vibrator, Tokyo Trash Baby, M (I Am an S+M Writer), New Type: Just for your Love หรือกระทั่งหนังสารคดี ออกจะมีหนังหลายเรื่องที่รุนแรงพอสมควร แต่ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวแรงสุดโต่ง หวานเย็น หรือเรียบง่าย ดูเหมือนเขาพอจะเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่กดผู้หญิง และถ่ายทอดได้ถึง ไม่ขนาดเจาะลึกแบบหนัง Eric Rohmer, R.W. Fassbinder หรือ Ingmar Bergman หรอก แต่ก็นับว่าเหนือชั้นมาก พูดจริง ๆ แล้วชอบแบบนี้มากกว่า คนส่วนใหญ่เขาไม่ถกจิตวิญญาณหรือดราม่าเกลียดกันลึก 34 ชั้นแบบหนังฟาสบินเดอร์ หรือ เบิร์กแมน หรอก
เจอบทสัมภาษณ์ Ryuichi Hiroki น่าสนใจที่นี่http://www.vertigomagazine.co.uk/showarticle.php?sel=bac&siz=1&id=649
เห็นในบทสัมภาษณ์นี้เขาบอกว่า เขาปล่อยตัวเองไปตามสถานการณ์ โอกาสทำหนังเรื่องไหน แนวอะไรก็เข้ามา ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังเล็ก หนังใหญ่ หรือเป็นหนังส่วนตัวเขียนบทเอง เขาชอบท้าทายตัวเองชอบทำหนังที่ต่างไปจากแนวเดิม ๆ ไม่อยากซ้ำรอยตัวเอง แล้วต้องรอทำหนัง 3 ปีเรื่อง
ในเรื่อง Love on Sunday: Last Word ริวอิจิ บอกว่า Maki Horikita นางเอกทีนไอดอลคนดังมีตารางเวลาให้ถ่ายหนังแค่ 1 อาทิตย์ เขาก็เลยรีบทำหนังแบบเรียบง่ายที่สุด ใช้โลเกชั่นเดียว ตอนหลัง มากิ สบายใจในการทำงานมาก เลยเพิ่มเวลาให้ถ่ายได้อีก 3 วัน
หรรษาประสาอิตาลีกับ MARIO MONICELLI ที่เทศกาล MOVIEMOV 2011

ยิ่ง ใหญ่และน่าสนใจกว่าทุก ๆ ปี สำหรับงานเทศกาลภาพยนตร์อิตาลี ประจำปี ค.ศ. 2011 นี้ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 มิถุนายน ณ โรงภาพยนตร์ SFX CINEMA ชั้น 6 ศูนย์การค้า EMPORIUM ซึ่งทางสถานทูตอิตาลีประจำประเทศไทย พร้อมแนวร่วมทั้งหลายได้ผนึกกำลังกันขนหนังเด่นหนังดีมาให้ผู้ชมชาวไทยได้ดู กันถึงที่ โดยกิจกรรมนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลศิลปะวัฒนธรรมอิตาลีทั้งยังมีการ ตั้งชื่อใหม่ให้ฟังดูเก๋ไก๋ว่า MOVIEMOV ครั้งที่ 1 ซึ่งก็นับเป็นงานอีกที่บอกได้วลีเดียวว่า ‘จงไป’ เพราะนอกจากจะฉายพร้อมคำบรรยายภาษาไทยแล้วทุกเรื่องยังเชิญชวนให้ดูแบบฟรี ๆ ชนิดมิต้องออกแรงควักกระเป๋าซื้อตั๋วกันเลยทีเดียว ใจดีกันถึงขนาดนี้หากจะมีการแจก panini กับ macchiato ให้ได้ดื่มเคี้ยวกันในโรงด้วยนี่ก็คงไม่แปลกใจ เพราะผู้จัดงานเขาเหมือนตั้งใจจะให้บริการกันแบบไม่ยอมให้เราต้องหมดเปลือง แม้แต่สลึงเฟื้องเดียวเลยจริง ๆ
เหลียวดูโปรแกรมหนังที่จะนำมาฉาย นอกเหนือจากหนังอิตาลีของผู้กำกับรุ่นใหม่ ๆ ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากเทศกาลต่าง ๆ ในรอบปีที่ผ่านมา ผู้เขียนก็มีอันต้องสะดุดตากับกิจกรรมในสาย Classic Retrospective ที่เป็นการเปิดเวทีสดุดีผลงานของ Mario Monicelli ผู้กำกับที่เพิ่งจะลาจากโลกนี้ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีกลาย จนอดไม่ได้ที่จะต้องขอออกหน้าอาสาเป็นกองเชียร์ชักชวนผู้ที่สนใจทั้งหลายให้ ได้ลองสัมผัสกับงานของหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการทำหนังตลกรายสำคัญของโลกท่าน นี้ดู Mario Monicelli เป็นผู้กำกับเพียงไม่กี่รายที่สามารถสร้างงานที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้าน การตลาดและการกวาดคำชมจากนักวิจารณ์ในฐานะงานศิลปะ จากผลงานหนังขนาดยาวจำนวน 50 กว่าเรื่องที่เขาทำมาอย่างต่อเนื่องระหว่างปี ค.ศ. 1950 – 2006 Monicelli มีทั้งหนังที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชมจนต้องทำออกมาเป็นภาคต่ออย่าง Totò Looks for an Apartment (1950) Big Deal on Madonna Street (1958) For Love and Gold (1966) กับ My Friends (1975) พร้อม ๆ กับการเป็นผู้กำกับมือรางวัลเจ้าของรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมือง เวนิสจากเรื่อง The Great War (1959) ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีหนังเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ถึง 5 วาระ แถมยังจะเคยคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลินมา แล้วถึง 3 เด้ง เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้งานของ Monicelli สามารถชนะใจได้ทั้งในหมู่ผู้ชม นักวิจารณ์ รวมทั้งคณะกรรมการก็คือ หนังของเขาเป็นงานที่สนุกและดูง่ายจนแทบไม่ต้องป่ายปีนกระได หากยังแฝงไว้ด้วยเนื้อหาสาระที่สะท้อนธรรมชาติทั้งด้านดีและร้ายของมนุษย์ ได้อย่างลึกซึ้งคมคายไม่แพ้ผู้กำกับชื่อดังรายอื่นไหนเลย งานของเขาจึงน่าจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่าสาระและความบันเทิงมิ ใช่สองสิ่งที่จำเป็นจะต้องเดินสวนทางกัน ทุกอย่างมันขึ้นกับ ‘ฝีมือ’ ของคนทำมากกว่าว่าจะรักษาองค์ประกอบสองส่วนนี้ได้อย่างเข้มข้นแค่ไหน ดังที่ Monicelli ได้เคยแสดงไว้ในผลงานหลาย ๆ ชิ้นของเขา
สำหรับงานเทศกาล MOVIEMOV ครั้งนี้ก็จะมีหนังของ Mario Monicelli มาฉายให้ดูจำนวนทั้งหมด 7 เรื่องด้วยกัน ซึ่งผู้เขียนก็ขอถือโอกาสหยิบเอาผลงานจำนวน 4 เรื่องที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ดูแล้วมาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านที่อาจยังไม่ได้ดู ได้รับฟัง สำหรับงานเทศกาล MOVIEMOV ครั้งนี้ก็จะมีหนังของ Mario Monicelli มาฉายให้ดูจำนวนทั้งหมด 7 เรื่องด้วยกัน ซึ่งผู้เขียนก็ขอถือโอกาสหยิบเอาผลงานจำนวน 4 เรื่องที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ดูแล้วมาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านที่อาจยังไม่ได้ดู ได้รับฟัง ว่าหนังของ Monicelli จะมีมุกกวน ๆ ฮา ๆ แบบไหนอย่างไรมาให้เราได้หัวร่องอหายกันบ้าง . . .
BIG DEAL ON MADONNA STREET (1958)
หนึ่ง ในหนังที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำมากที่สุดของ Mario Monicelli เรื่องนี้ยังมีดีกรีเป็นหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่าง ประเทศยอดเยี่ยม ประจำปี ค.ศ. 1959 อีกด้วย Big Deal on Madonna Street เป็นหนังที่จะพาเราไปติดตามเบื้องหลังการทำงานของกลุ่มโจรกระจอกที่วางแผนจะ จารกรรมเงินในตู้นิรภัยของโรงรับจำนำของรัฐบาล โดยพวกเขาจะบุกผ่าน apartment หลังที่อยู่ติดกันในยามวิกาลด้วยการงัดแงะและเจาะผนังโดยปราศจากเสียงดัง เพื่อแอบเข้าไปยังจุดเก็บเงิน ซึ่งจอมโจรทั้งสี่นี้ก็ประกอบไปด้วย Peppe (Vittorio Gassman) อดีตนักมวยหนุ่มผู้ตกอับ Tiberio (Marcello Mastroianni) หัวขโมยพ่อลูกอ่อน Capannelle (Carlo Pisacane) โจรชราจอมตะกละ และ Ferribotte (Tiberio Murgia) ลูกสมุนหนวดงาม และแม้ว่าพวกเขาจะวางแผนการต่าง ๆ ไว้อย่างดิบดีเพียงไร แต่ความเฟอะฟะไม่เอาไหนของพวกเขาก็มีอันต้องทำให้อะไร ๆ ต้องผิดแผนได้เสมอ
ความเจ็บแสบของ Big Deal on Madonna Street คงไม่ได้อยู่ที่วิธีการที่เหมือนจะแยบยลของจารชนกลุ่มนี้ แต่กลับอยู่ที่การนำเสนอตัวละครของ Monicelli ที่แสดงความเป็น ‘มิจฉาชีพ’ ของพวกเขาราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่สืบทอดทางสายเลือดและมันอาจเป็นครรลอง ชีวิตเพียงรูปแบบเดียวที่พวกเขาสามารถยึดถือได้ในสภาวการณ์อันโหดร้ายของ บ้านเมืองในช่วงเวลานั้น หนังจงใจถ่ายทอดให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของแหล่งชุมชนแออัดในกรุงโรมกัน อย่างตรงไปตรงมา ชวนให้รู้สึกว่าคนอิตาลีนี่เขาช่างกล้าเปิดเผยความเป็นไปในแง่ร้ายของบ้าน เขาเมืองเขาให้เราได้ดูกันอย่างจริงใจโดยไม่ต้องเสียเวลามาสร้างภาพอะไรกัน ให้เหนื่อยเพลีย หนังเกี่ยวกับจอมโจรมาเฟีย หรือนักการเมือง corruption ทั้งหลาย จึงได้รับการสนับสนุนให้ไปอวดโฉมในเวทีระดับนานาชาติได้ ไม่ยักกะเหมือนบ้านเราเลยสักนิด Monicelli เล่าเรื่องราวทั้งหมดใน Big Deal on Madonna Street ด้วยบทสนทนาที่ช่างคิดช่างหาแก๊กมาได้อย่างสุดยียวน ชวนให้ต้องส่ายหัวไปกับความบ้าบอคอแตกของเหล่าตัวละครกลุ่มนี้ และถึงแม้ว่าหนังจะสร้างมาแล้วกว่า 50 ปี แต่เนื้อหาและความฮาของมันกลับไม่มีอะไรตกสมัยไปกับกาลเวลาเลย
THE GREAT WAR (1959)
ถัด จาก Big Deal on Madonna Street เพียงหนึ่งปี Monicelli ก็มีโอกาสทำหนังแดกดันสงครามเรื่อง The Great War ที่ได้นักแสดงคู่บุญอย่าง Alberto Sordi มารับบทคู่กับ Vittorio Gassman หนังได้เข้าร่วมประกวดที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส และสามารถคว้ารางวัลใหญ่อย่างสิงโตทองคำมาได้พร้อม ๆ กับเรื่อง Generale della Rovere (1959) ของ Roberto Rossellini สำหรับใน The Great War นี้ Monicelli ได้เล่าถึงประสบการณ์ในกองทัพของสองหนุ่ม Oreste (Sordi) และ Giovanni (Gassman) ที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารอย่างไม่เต็มใจในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งสันดานของการเป็นคนหัวใสของทั้ง Oreste และ Giovanni ก็ทำให้พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะหนีห่างจากภารกิจจำเป็นในครั้งนี้ แต่ฟ้าก็ยังอุตส่าห์ลิขิตให้พวกเขาไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ แถมยังต้องเสี่ยงอันตรายไปร่วมรบในแนวหน้าคอยหลบห่ากระสุนจากข้าศึกกันอย่าง อุตลุดอลเวง
หนังเริ่มต้นด้วยเนื้อหาแนว ‘กองพันทหารเกณฑ์’ เล่าเรื่องราวสนุกสนานของทหารใหม่ในกองทัพกันอย่างเบาสมอง ก่อนที่ประสบการณ์ของทั้ง Oreste กับ Giovanni จะค่อย ๆ นำพาผู้ชมไปสัมผัสกับเรื่องราวสะเทือนใจ เมื่อพวกเขาต้องเสียเพื่อนร่วมรบไป แถมยังจะได้เจอกับภรรยาของทหารกล้ารายนั้นโดยบังเอิญที่สถานีรถไฟในภายหลัง โทนหนังในช่วงนี้จะค่อย ๆ ทวีความจริงจังผ่านการตั้งคำถามต่อความไร้สาระของสงครามมากขึ้น ๆ ซึ่งก็จะนำไปสู่บทสรุปอันน่าใจหายที่อาจจะพัฒนาจากความตลกโปกฮาไปเสียไกลจน ไม่น่าจะมีใครกล้าหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงอีก เรื่องราวที่อิงกับบริบทของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในบางช่วงอาจเป็นอุปสรรค ในการทำความเข้าใจสำหรับผู้ชมชาวไทย แต่เนื้อหาโดยส่วนใหญ่ของ The Great War ก็ยังสากลพอที่ ‘คนนอก’ อย่างเรา ๆ จะสามารถร่วมสัมผัสและเข้าใจไปกับความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นได้ จนกลายเป็นหนังตลกที่ชวนให้ขื่นใจได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งของ Monicelli เลยทีเดียว นอกจากจะได้รับรางวัลสิงโตทองคำมาแล้ว The Great War ยังติดโผเป็นหนึ่งในหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ ยอดเยี่ยม ประจำปี ค.ศ. 1960 เช่นเดียวกับ Big Deal on Madonna Street อีกด้วย
AN AVERAGE LITTLE MAN (1977)
แม้ จะสร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Vincenzo Cerami แต่ An Average Little Man ฉบับหนังนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น Monicelli ไม่แพ้หนังที่เขาเขียนบทเองเรื่องอื่น ๆ เลย An Average Little Man เราเรื่องราวขำขันของ Giovanni (รับบทโดยขาประจำ Alberto Sordi ) เจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่วัยใกล้ปลดเกษียณ ณ หน่วยราชการแห่งหนึ่ง ผู้ซึ่งอาศัยอยู่กับภรรยาและบุตรชายในกรุงโรม เมื่อบุตรชายอายุถึงวัยที่จะได้ออกทำงาน Giovanni จึงวาดฝันที่จะให้เขาเจริญรอยตามความสำเร็จที่คุณพ่อได้ปูทางเอาไว้ในที่ทำ งานแห่งนี้ ด้วยการพยายามทำทุกวิถีทางที่จะดันให้ทายาทของตัวเองสามารถช่วงชิงตำแหน่ง เก้าอี้นักบัญชีที่มีผู้สนใจสมัครกันเป็นจำนวนหลักพันให้จงได้
หนังใช้เรื่องราวของ Giovanni มาตีแผ่เบื้องหลังการทำงานของหน่วยราชการในอิตาลี ที่โต๊ะทำงานของพนักงานแต่ละรายล้วนพะเนินเทินทึกไปด้วยกองเอกสารจากงานที่ คั่งค้างซึ่งตั้งกองเอาไว้จนสูงท่วมหัว แถมตัวเจ้านายเองก็ดูจะห่วงกับปริมาณรังแคบนหนังศีรษะมากกว่าจะใส่ใจกับภาระ งานตรงหน้า แต่ที่แสบเสียยิ่งกว่าก็คงเป็นการแฉถึงกระบวนการในการใช้เส้นใช้สายที่อาศัย ความสนิทชิดใกล้มาเป็นเครื่องมือในการลำเลิกความเห็นใจจากผู้มีอำนาจทั้ง หลายโดยไม่แคร์ถึงความยุติธรรม และแน่นอนว่าการจงใจลำเอียงช่วยเหลือกันเช่นนี้คงมิใช่สิ่งที่จะทำกันให้ เปล่า ๆ ได้ คุณพ่อ Giovanni จึงจำใจต้องละศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งไป ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายของตัวเองได้มีอนาคตที่มั่นคง ณ สำนักงานแห่งนี้ แต่หลังจากที่หนังกัดแขวะการทำงานในระบบราชการของอิตาลีกันจนหนำใจ ก็จะถึงเวลา surprise ด้วยพลิกเรื่องราวไปสู่โหมดสะเทือนขวัญกันแบบไม่ทันตั้งตัว ด้วยการนำเสนอบุคลิกในอีกมุมด้านของ Giovanni ที่ถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องแสดงอารมณ์เบื้องลึกบางอย่างออกมา ซึ่งก็ต้องขอเชิญชวนให้ได้ลองติดตามกันด้วยตาตัวเองว่าเนื้อหาของมันจะพัฒนา จนเลยพ้นจากความคาดหมายได้ถึงขนาดไหน! หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประจำปี ค.ศ. 1977
THE MARQUIS OF GRILLO (1981)
หนัง ตลกย้อนยุคที่อ้างอิงจากชีวประวัติที่เล่าขานกันมาของขุนนาง Onofrio del Grillo ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมี Alberto Sordi รับบทเป็นขุนนาง Marquis del Grillo จอมทะเล้นที่เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นไม่เว้นแม้กระทั่งการปั่นหัวพระ สันตะปาปา ขุนนาง Marquis del Grillo เป็นชายที่มีพร้อมทั้งสมบัติพัสถานและอำนาจสั่งการ แต่วัน ๆ เขากลับมุ่งหาความสำราญแกล้งคนโน้นแกล้งคนนี้โดยไม่เคยมีกะจิตกะใจจะดูแล ราษฎร ความกะล่อนแบบไม่เกรงใจใครของ Marquis del Grillo อาจทำให้หลาย ๆ คนไม่ชอบขี้หน้า แต่เขาก็สามารถทำตัวเป็นพ่อปลาไหลเลื้อยมาเลื้อยไปจนใคร ๆ ก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเลยสักที ชนิดถ้าได้เจอกับคุณพี่ ‘ศรีธญชัย’ ก็คงจะควงแขนไปวัดไปวาด้วยกันได้ ค่าที่ต่างก็หัวหมอและช่างฉ้อในระดับพอ ๆ กัน
The Marquis of Grillo อาจเป็นหนังที่ สนุก ครื้นเครง โกลาหล และอลเวง ได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งของ Monicelli เพราะดูเหมือนครั้งนี้เขาจะเปิดโอกาสให้ผู้ชมสำราญกับเรื่องราวอย่างเต็มที่ โดยไม่มีเรื่องหนัก ๆ ให้ต้องเสียจังหวะความฮา แต่สุดท้ายเนื้อหาของมันก็ยังอุตส่าห์สะท้อนสัจธรรมได้ประการหนึ่งว่า ลักษณะของการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้นั้นบางครั้งอาจไม่จำเป็นต้อง อาศัยคุณธรรมจริยธรรม เพียงสามารถทำตัวกะล่อนยอกย้อนปลิ้นปล้อนเล่นละครจนมะกอกร้อยตะกร้าก็ปาไม่ ถูกเท่านั้น ก็คงไม่มีวันที่ใครจะทำอะไรได้ตราบใดที่พวกเขาฉลาดพอ ดั่งที่จะเห็นจากกรณีของพ่อขุนนาง Marquis of Grillo รายนี้เป็นต้น หนังเรื่องนี้ได้เข้าร่วมประกวดที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลินและคว้า รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สามจากเวทีนี้แก่ Monicelli หลังจากที่ Like Father, Like Son (1957) กับ Caro Michele (1976) เคยทำสำเร็จมาก่อนแล้ว
สำหรับภาพยนตร์อีก 3 เรื่องที่เหลือที่ฉายในโปรแกรมนี้ บางเรื่องนี่ต้องขอเตือนไว้เลยว่าอาจยังไม่สามารถหาดูในรูปแบบ DVD หรือ VDO ที่มีคำบรรยายภาษาใด ๆ ได้ เพราะฉะนั้นหากคุณผู้อ่านสนใจจะชมเรื่องไหนก็ขอให้รีบติดต่อสำรองที่นั่งกัน ที่ moviemovitalfilm2011@gmail.com อย่างเร็วไว เพราะของดี ๆ ฟรี ๆ แบบนี้มีหรือที่ใคร ๆ จะไม่อยากดู!
ติดตามรายละเอียดโปรแกรมเทศกาล MOVIEMOV ทั้งหมดได้ที่
http://www.thaitch.org/news/moviemov-bangkok-italian-film-festival-2011
LA DROLESSE (JACQUES DOILLON/1979/FR) เขาและเธอหนีโลกไปอยู่ห้องใต้หลังคา
โดย FILMSICK
หนังเล่าเรื่องของเด็กหนุ่มท่าทางเพี้ยนที่อยู่มาวันหนึ่งล่อลวงเด็กสาว ที่ยังไม่ทันจะวัยรุ่นไปขังไว้ที่บ้าน เรื่องเล่าแทบทั้งหมดเกิดขึ้นในห้องใต้เพดานของโรงนาเน่าๆ ที่ต้องเข้าออกด้วยการปีนบันไดลิง ความผูกพันพิพักพิพ่วนชั่วหนึ่งสัปดาห์ผ่านดาลลั่นช่องประตูที่เอื้อมมือลอด มาเปิดได้ กล้องวงจรปิดเสแสร้ง และสิวหลังคอของเด็กสาวหน่ายมารดา เรื่องที่รู้ตั้งแต่ต้นวาคงจะต้องจบลงอย่างเศร้าๆ ซึ่งมันก็เศร้าแบบนั้นนั่นแหละ เพียงแต่นี่คือความเศร้าของความสัมพันธ์ผิดที่ผิดทางของคนที่ไม่อาจจะเข้าใจ โลกในแบบที่มันเป็นได้ ช่วงเวลาพักร้อนเล็กๆจากชีวิตประจำวันของเด็กนักเรียนกับไอ้หนุ่มคนงานไร่ โลกเนิบเงียบเศร้าที่ส่องสว่างเพียงชั่วครู่แล้วค่อยๆสลัวลง
เริ่ม จากที่โรงเรียน เด็กสาวเหม่อจ้องมองคนงานทุบทำลายตุ๊กตาหน้าหลุมศพ ครูให้เด็กๆเขียนบทกวีถึงแม่ แม่เหรอ หนูไม่อยากมีแม่ นั่นคือบทกวีของเธอ ที่บ้าน แม่ไม่ชอบให้เธอมายุ่มย่าม เธอแกล้งทำเป็นหลับแอบดูแม่ พยายามจะช่วยแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่แม่ไล่เธอไปนอน แม่เธอรู้จักไอ้หมอนั่น เด็กหนุ่มกระทงท่าทางโง่เซอะ เขามาก้อร่อก้อติกกับแม่จนแม่ไล่ตะเพิดไป เขาบอกว่าเขามีมนต์วิเศษที่จะรักษาสิวของเธอได้ แต่แม่คิดว่าเขาเป็นไอ้ลามก วันต่อมาเขาไปดักรอเธอที่พุ่มไม้ บอกว่าจะพาเธอไปดูทีวีที่บ้าน จะรักษาสิวให้เธอ เธอเลยขึ้นกระบะที่พ่วงกับมอเตอร์ไซค์ของเขา ซ่อนตัวในลังกระดาษ ตามเด็กหนุ่มไปที่บ้านที่อาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง เด็กหนุ่มขังเธอไว้ในบ้านบอกว่าพ่อเลี้ยงของเขาเป็นไอ้โหด เขาต้องหลอกเธอมาสังเวย เขาขอให้เธออยุ่เฉยๆในห้องเขาจะหาอะไรมาให้เธอกิน แล้วเขาจะพาเธอหนีไป ความสัมพันธ์มันก็เดินไปแบบนี้ เด็กสาวออกจะกลัว แต่เธอก็อาจจะรู้ก็ได้ว่าเขาโกหก เช่นกันเขาก็คิดว่าแค่หลอกเธอมาเล่นสนุก แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีเซกส์กัน เธอยังเด็กอยู่มาก และเขาก็เคอะเขิน ทั้งคู่นอนร่วมเตียงกัน คุยกันไว้ใจแต่กันและกัน ในโลกที่ไม่มีใครยึดเกาะมีแต่พวกเขาเอง
หนังเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา ไต่ไปบนความสัมพันธ์หมิ่นเหม่ของเด็กหนุ่มสาวทั้งคู่ แรกทีเดียวเราอาจไพล่นึกไปถึงหนังวัยรุ่นวาบหวามที่เล่นเถิดเจ้าล่อกับความ รู้สึกของแรกหนุ่มแรกสาว แต่เอาเข้าจริงมันกลับเป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่น (อีกคนยังไม่ทันวัยรุ่นด้วยซ้ำ) ที่หน่ายโลก ท่ามกลางชีวิตซึ่งไม่มีอะไรให้ยึดเกาะพวกเขาหันมาเกาะเกี่ยวกันและกัน เด็กสาวนอนเขลงอ่านการ์ตูน กินอาหารที่เขาหามาได้ ประหนึ่งว่ามันเป็นวันพักร้อนของเธอ พักร้อนจากชีวิตที่ยังไม่ได้เริ่มต้นซึ่งเธอก็หน่ายมันเสียแล้ว เช่นกันสำหรับเด็กหนุ่ม เด็กสาวกลายเป็นจักรวาลส่วนบุคคลที่เขาใช้หลบหนีจากครอบครัวที่เขาเข้าไม่ ได้ (เป็นไปได้ว่าครอบครัวของเขาเป็นพวกเจ้าระเบียบ เพราะเขาต้องมานั่งหงอในห้องครัวหลังจากออกไปนอกบ้าน แถมความสัมพันธ์กับพี่สาวก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า) พวกเขาสร้างโลกใหม่ที่ตัดขาดจากคนอื่นๆ โลกในห้องใต้หลังคาที่เข้าออกจากการสอดเชือกเข้ามาทางรูเล็กๆที่ผนังแทน สัญญาณ เด็กสาวเรียกเขาเป็นพ่อที่เธอไม่มี และเขาเองก็กอดกับเธอนอนหลับไปในตอนกลางคืน เขาสัมผัสหลังคอของเธอตอนที่ทาโคโลญจน์ฆ่าเชื้อเพื่อรักษาสิวของเธอ (นั่นเวทย์มนต์ของเขา) เขาและเธอกินข้าวร่วมกัน ใช้ชีวิตพิลึกพิลั่นในความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียก ซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องถูกทำลายลงอย่างย่อยยับอยู่ดี
หนัง อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับเกมของเด็กทั้งสองโดยตัดบริบทอื่นๆออกเกือบหมด ราวกับว่าโลกทั้งโลกหดตัวลง ในขณะที่หนังเพ่งมองไปยังความสงบสุขของมนุษย์สองคนความกระอักกระอ่วนก็ก่อ ตัวขึ้นด้วย ฉากหนึ่งเด็กหนุ่มพาเธอไปทิ้งไว้ในไร่ข้าวโพดขณะเข้าเมือง เขาทิ้งเธอไว้ตลอดวันราวกับจะจบเกมนี้ลง เธอก็รอเขาอยู่ในดวงข้าวโพดเช่นั้นจนในที่สุกเขาก็ต้องมารับ หรืออีกฉากที่เธอวาดภาพบ้านลงบนพื้นและพยายามจะชวนเขาเล่นเหมว่าด้วยบ้านใน จินตนาการที่ที่เราโญนความทุกข์ทิ้งไปได้ แต่เขาด่าว่าเธองี่เง่าเธอเลยด่าว่าเขาเป็นไอ้เลว เธอจะไม่เล่นกับเขาอีกแล้ว จากนั้นเธอก็หนีเขาไปในทุ่งเพื่อที่จะกลับมาอีกครั้ง ความสัมพันธ์ที่ครึ่งๆกลางๆระหว่างการเล่นสนุกและการลักพาตัวที่จริงจัง การเกลียดชังกันในฐานะของเหยื่อ/ผู้ล่าและความรู้สึกที่ดูเหมือนแต่จะมีแค่ สองคนเท่านั้นที่เข้าใจกันได้ถูกถ่ายทอดลงบนจอโดยกันคนดูให้เป็นเพียงผู้ สังเกตการณ์ ก่อนที่หนังจะจบลงเมื่อสิวที่หลังคอของเธอหาย และเขาต้องส่งเธอคืนแม่ของเธอ ในขณะเดียวกันมันก็ดูราวกับว่าโลกข้างนอกค่อยๆคืบคลานมาทำลายโลกในห้องใต้เพ ดานี้ สิวเธอหาย เขาอาจจะต้องติดคุกด้วยหนี้ที่เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ และฉากสุดท้ายของหนัง เหตุการณ์ปรากฏซ้ำเพียงชั่ววูบเดียวที่มีโลกภายนอกมากำกับอยู่ ก็ทำให้หัวใจของตัวละคร และผู้ชมแหลกสลาย
โดยส่วนตัวหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับการอ่าน THE CATCHER IN THE RYE และ การดู THE DEVIL , PROBABLY ของBRESSON เพราะมันค่อยๆคลี่ขยายความไม่สัมพันธ์ ของคนที่เข้ากันไม่ได้กับโลก ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เขาและเธอพยายามดิ้นหนีไปจากโลก แน่นอนทุกเรื่องจบลงอย่างเศร้าสร้อย และยอมจำนน การดิ้นหนีของพวกเขาไม่ใช่เรื่องโรแมนติก มันคือการต่อสู้แบบที่รู้ว่าต้องแพ้ตั้งแต่ต้น
หมายเหตุ หนังหลายเรื่องอ ของ Jacques Doillon จะฉายในงานเทศกาล World film ปีนี้ พร้อมพบกับตัวจริงของJacques Doillon ด้วยครับ
อ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.worldfilmbkk.com/news/36/Retrospective:-Jacques-Doillon-at-8th-WFFBKK.html